Author Archives: ZunWu
Fender American Elite Stratocaster กีตาร์ไฟฟ้า
ขายเพียง  67,500฿ จาก  75,000฿เรื่องของไวโอลินที่อาจจะยังไม่รู้ !!!
ไวโอลินเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดของโลกและมีสเน่ห์ในตนเอง ในสมัยก่อนโวโอลินเป็นเครื่องดนตรีของชนชั้นสูงในยุโรปจนนิยมเล่นมาถึงปัจจุบัน ซึ่งไวโอลินเป็นตระกูลเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญในวงออเคสตรา พื้นฐานเสียงของไวโอลินเกิดจากการสั่นของสายโดยแตกแขนงออกไปเป็นเชลโล่และวิโอล่าได้อีก เพราะถือว่าเป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายและใช้คันชักเหมือนกัน
ลักษณะเสียงของไวโอลินจะมีความกว้างและแหลม และสามารถเปลี่ยนไปตามความสั่นของนิ้วมือได้ด้วย หลายๆคนจึงชื่นชอบในเครื่องดนตรีประเภทนี้ แต่ก็ยังมีความจริงบางข้อที่นักไวโอลินอาจจะยังไม่รู้ ดังนั้นถ้าใครชื่นชอบเครื่องดนตรีประเภทนี้อาจจะอยากทราบ
ไวโอลินกำเนิดมากว่า 500 ปี
ไวโอลินตัวแรกของโลกถูกสร้างโดย อันเดรีย อามาติ นักไวโอลินชาวอิตาลี ซึ่งถือเป็นบิดาของเครื่องดนตรีชนิดนี้ อามาติหลงใหลในเสียงของเครื่องสั่นที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณ จึงคิดค้นเครื่องดนตรีในแบบของตนเองที่ทำมาจากไม้ มีสายพาดผ่านและใช้คันชักสีให้เกิดเสียง มีช่องลมในตัวไม้เพื่อให้เสียงลอดออกมาได้ ซึ่งเป็นการกำเนิดไวโอลินบนโลกใบนี้ นอกจากนั้น อามาติ ยังผลิตเครื่องดนตรีตระกูลนี้ชนิดอื่นอย่าง เชลโล่ อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันไวโอลินตัวแรกของ อามาติ ได้เข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะโลกที่นิวยอร์คเรียบร้อย
80% ของไวโอลินบนโลกทำจากไม้เมเปิ้ลและไม้สปรู๊ซ
แม้ว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่นอาจจะใช้ไม้หลายแบบมาทำ แต่เนื่องจากไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงเฉพาะตัวคือกว้างและแหลม ไม้ที่ใช้ทำไวโอลินได้จึงมีไม่มาก ที่นิยมคือไม้ตระกูลสนหรือสปรู๊ซ ที่จะให้เสียงโทนแหลมค่อนข้างดีเหมาะสำหรับทำไวโอลิน อีกประเภทคือไม้เมเปิ้ลที่ให้เสียงย่านกลางดีอยู่แล้ว และยังมีความคมชัดในเนื้อเสียง สองไม้นี้จึงเป็นไม้หลักๆในการนำมาผลิตไวโอลิน
ขนาดของไวโอลินที่เหมาะสมวัดจากช่วงแขนผู้เล่น
ไวโอลินผลิตออกมา 8 ขนาด โดยเวลาวัดขนาดไวโอลินที่เหมาะกับตนเองจะวัดจากความยาวช่วงไหล่ไปถึงข้อมือ แม้ว่าบางคนอาจจะวัดตามอายุผู้เล่นแต่เนื่องจากแต่ละคนมีการเจริญเติบโตที่ไม่เท่ากันการวัดจากช่วงแขนจึงนิยมมากที่สุด แต่ที่นิยมมักจะเป็นขนาด 3/4 หรือ 4/4 เพราะเป็นขนาดมาตรฐานสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป
ไวโอลินที่แพงที่สุดในโลกคือ 18 ล้านดอลลาร์
เจ้าของสถิติเดิมคือ Stradivarius ไวโอลินที่โด่งดังไปทั่วโลก ชื่อนี้หลายคนอาจจะคุ้นหูเพราะปรากฏในภาพยนตร์หรือการ์ตูนหลายเรื่องเช่น โคนัน ไวโอลินตัวนี้ถูกประมูลเพื่อช่วยผู้ประสบภัยสึนามิเมื่อปี 2011 ในราคา 15.9 ล้านดอลลาร์ จนมาถูกทำลายสถิติราบคาบเมื่อปี 2013 เมื่อเศรษฐีชาวอาหรับที่ไม่ประสงค์ออกนามซื้อ Vieuxtemps ไวโอลินของนักทำไวโอลินอย่าง Guarneri ในราคา 18 ล้านดอลลาร์ (จากการเปิดเผยของ J&A Beare ร้านไวโอลินชื่อดังในลอนดอนที่เป็นสื่อกลางในการซื้อขายครั้งนี้ ปัจจุบันเศรษฐีชาวอาหรับได้ให้สิทธิ์ Anne Akiko Meyers นักไวโอลินชาวญี่ปุ่นเป็นผู้เล่น
ขอบคุณบทความจาก sheetmusicplus
ขอบคุณรูปภาพจาก takelessons, consordini
เรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้ของไม้ Top-Solid
โดยทั่วไปแล้วหากนักดนตรีจะซื้อกีต้าร์ดีๆซักตัวก็คงต้องศึกษาเรื่องไม้กันพอสมควรเพื่อให้ได้กีต้าร์คุณภาพดี โดยเฉพาะกีต้าร์โปร่งที่มักจะใช้ไม้ปะหน้าที่เป็นไม้แท้หรือ Top-Solid มาเป็นจุดขาย หลายๆคนก็อาจจะงงว่า อ้าว แล้วถ้าไม่ใช่ Top-Solid แสดงว่าเป็นไม้ปลอมหรือวัสดุสังเคราะห์หรือเปล่า ขอบอกตรงนี้เลยว่าไม่ใช่ เพราะทั้งสองชนิดนี้คือไม้แท้ทั้งคู่ แตกต่างตรงที่ Solid จะเป็นไม้แบบแผ่นเดียว ส่วน Laminate จะเป็นการใช้ไม้หลายท่อนมาประกอบกัน
มาถึงตรงนี้หลายคนก็อาจจะร้อง อ๋อ เพราะตามสเปคกีต้าร์โปร่งจะมี Top-Solid หลายประเภทเหลือเกิน เช่น ท็อปโซลิดสปรู๊ซ ก็คือการใช้ไม้สนแบบแผ่นเดียวทำเป็นสวนหน้าบอดี้ หรือท็อปโซลิดมะฮอกกานีก็คือการนำไม้มะฮอกกานีแบบแผ่นเดียวมาทำกีต้าร์นั่นเอง ทีนี้ตัวไม้ Top-Solid มันมีข้อดีข้อเสียอย่างไรที่บางคนยังไม่รู้ เราก็จะพาไปไขคำตอบกันดังนี้
Top-Solid VS Laminate
เชื่อว่าคงเคยได้ยินมาว่าถ้าเป็นไม้แท้ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่กีต้าร์เสียงจะดีขึ้น ซึ่งข้อดีพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง เพราะการใช้ไม้แผ่นเดียวพอเวลาไม้แห้งเนื้อไม้จะผสานตัวเข้าหากัน ทำให้ไม่มีช่องอากาศเล็กๆน้อยๆมาทำให้เสียงดร็อปอีกต่อไป ต่างจากไม้ Laminate หรือไม้ประกอบที่มักจะนำไม้ 2-3 ชั้นมาซ้อนกัน เมื่อเวลาไม้แห้งจะเชื่อมต่อกันไม่สนิทเพราะกาว อีกทั้งตัว Laminate ยังต้องวางไม้ซ้อนทำให้เนื้อไม้หนาจึงใช้เวลาแห้งนานกว่า ดังนั้นถ้าเลือกซื้อกีต้าร์โปร่งแบบ Top-Solid จะได้เปรียบตรงที่กีต้าร์คุณภาพเสียงดีขึ้นตามกาลเวลา
Top-Solid ไม่ได้ให้เสียงใสเสมอไป
อย่างที่เกริ่นเอาไว้ว่า คำว่า Top-Solid คือไม้แผ่นเดียวกันเท่านั้น ทำให้เสียงของกีต้าร์ย่อมขึ้นอยู่กับว่าเอาไม้อะไรมาใช้เป็นส่วนประกอบเสียมากกว่า เช่น ถ้าเป็นโซลิดมะฮอกกานีก็จะให้สุ้มเสียงที่หนา sustain ค่อนข้างกว้าง ถ้าเป็นไม้ซิทก้าสปรู๊ซจะเด่นย่านเสียงกลาง เสียงไม่แตกง่ายทำให้ไม้โซลิดประเภทนี้เหมาะกับการตีคอร์ด หรือถ้าเป็นไม้อิงเกิ้ลแมนสปรู๊ซซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อนเสียงก็จะใสเหมาะกับการเล่นแบบฟิงเกอร์สไตล์ ดังนั้นความเชื่อที่ว่า Top-Solid ต้องเสียงใสๆกังวานจึงเป็นความเชื่อที่ผิด เวลาเลือกซื้อกีต้าร์ควรดูจากประเภทของไม้ที่เอามาทำมากกว่า
Top-Solid ไม่ได้เป็นไม้เกรดดีเสมอ
คำว่า Top ใน Top-Solid ไม่ได้หมายถึงเกรดไม้ แต่หมายถึงด้านบน(ด้านหน้า)ของตัวกีต้าร์ ดังนั้นการที่กีต้าร์เป็น Top-Solid ไม่ได้หมายความว่าเป็นกีต้าร์เกรดสูง แต่หมายถึงใช้ไม้แผ่นเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม้ที่ใช้เป็นไม้ไม่มีคุณภาพ บางครั้ง Top-Solid ของกีต้าร์โนเนมบางยี่ห้อก็ยังสู้ไม้ Laminate ของบางแบรนด์ที่เอามาประกอบไม่ได้เลย อีกทั้งช่วงหลังยังเริ่มใช้ไม้จากเขตร้อนมาทำ Top-Solid กีต้าร์มากขึ้นทั้งที่ไม้จำพวกนี้ความชื้นจะเยอะทำให้แห้งยาก จึงต้องใช้เวลานานกว่ากีต้าร์จะได้คุณภาพ จึงเป็นการค้านความเชื่อที่ว่ากีต้าร์ Top-Solid จะต้องคุณภาพดีเสมอไป
ไม้ Top-Solid ใช่จะไม่มีข้อเสีย
แน่นอนล่ะว่าไม้แท้อย่าง Top-Solid ย่อมต้องมีข้อดีที่มากกว่า มือกีต้าร์หลายคนจึงเลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เนื้อไม้บางทำให้การสั่นของเสียงค่อนข้างกังวาน สาวกกีต้าร์โปร่งจึงชื่นชอบ หรือการพัฒนาคุณภาพเสียง แต่ใช้ว่าไม้ประเภทนี้จะมีแต่ข้อดีเพราะข้อเสียหลักๆของกีต้าร์ Top-Solid คือการดูแลรักษา เพราะไม้แผ่นเดียวย่อมเปลี่ยนง่ายตามสภาพอากาศ เช่นเดียวกับประตูหน้าต่างที่โดนความร้อนแล้วจะมีการคดงอ ผู้ที่มีกีต้าร์แบบท็อปโซลิดเลยต้องใส่ใจในจุดนี้มากหน่อย อีกทั้งกีต้าร์ Top-Solid เป็นกีต้าร์ที่ต้องการ”เล่นบ่อย” เพื่อให้เนื้อไม้มีการกระทบในความสั่นของเสียงอยู่ตลอดเวลา ถ้าซื้อไปแล้ววางมุมห้องไม่ค่อยได้เล่นเสียงจะมีความทึบมากขึ้น จึงเรียกได้ว่าต้องใช้งานบ่อยพอควร
ดังนั้นยามเลือกซื้อกีต้าร์โปร่ง ควรจะถามความพร้อมของตนเองก่อนว่าเล่นสไตล์ไหน มีการใช้งานบ่อยเท่าไหร่ รวมไปถึงชอบกีต้าร์เสียงแบบไหน เพราะอย่างที่ได้เกริ่นกันไปแล้วว่าหากเล่นฟิงเกอร์สไตล์ก็ต้องท็อปโซลิดอิงเกิ้ลแมนสปรู๊ซ หรือเน้นตีคอร์ดก็ต้องเป็นท็อปโซลิดซิทก้าสปรู๊ซ และต้องไม่ลืมใส่ใจในตัวกีต้าร์ที่ซื้อมาอีกด้วย ถ้าหากคุณทะนุถนอมกีต้าร์อย่างดีใช้งานได้ถูกต้องแล้ว ภายในไม่กี่ปีข้างหน้ากีต้าร์โปร่งเก่าตัวโปรดของคุณจะเสียงดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ขอบคุณบทความจาก guitaradventures
ขอบคุณรูปภาพจาก guitaradventures, Guitarhabits, woodguys
10 กีต้าร์ Signature คนดังที่น่าจับจอง !!!
ปัจจุบันแบรนด์กีต้าร์ดังๆต่างจับเอาตัวศิลปินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้ามากมาย ซึ่งนอกจากจะเป็นพรีเซ็นเตอร์แล้วก็ยังมีส่วนร่วมในการออกแบบกีต้าร์ให้คล้ายคลึงกับตัวที่พวกเขาเล่นอยู่เป็นประจำอีกด้วย ทำให้กีต้าร์รุ่น Signature ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักดนตรี ทางต่างประเทศจึงจัดอันดับ 10 กีต้าร์รุ่นคนดังที่ได้รับความนิยมสูง จะเป็นใครบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย
อันดับ 10 PRS Mark Tremonti Signature
กีต้าร์ PRS รุ่นนี้ได้ Mark Tremonti มือกีต้าร์วง Creed ที่โด่งดังมาร่วมออกแบบ ซึ่งเจ้าตัวนั้นชื่นชอบดนตรีแนวเมทัลค่อนข้างมากทำให้ซาวด์กีต้าร์ตัวนี้ออกมาค่อนข้างดุเลยทีเดียว คอทำมาแบบบางบอดี้สีฟ้าตามแบบฉบับกีต้าร์ที่เจ้าตัวชอบเล่นคอนเสิร์ต ตัวนี้ได้รับการยกย่องว่าเสียงแน่นตีคอร์ดดุถูกใจสาวกเมทัลอย่างแรง
อันดับ 9 Ibanez Steve Vai Signature JEM
ถ้าเป็นมือกีต้าร์แล้วคงไม่มีใครไม่รู้จัก สตีฟ วาย เจ้าพ่อซาวด์กีต้าร์ชาวอเมริกันคนนี้ ดังนั้นกีต้าร์ซิกเนเจอร์ต้องเด่นเรื่องซาวด์กันหน่อย ทาง Ibanez จึงจัดปิ๊กอัพมาให้ 3 ตัวทั้งแบบเซรามิคและแบบแม่เหล็ก Anico นอกจากนี้ยังเพิ่มเสียง Vibrato หรือเสียงสั่นในคันโยกกันด้วยเพื่อสาวกจะได้เล่นกันสะใจ รุ่นนี้ยังมีถึง 24 เฟรตให้แฟนๆ สตีฟ วาย โซโล่กันเต็มที่ จึงไม่แปลกที่รุ่นดีจะเป็นรุ่นท็อปๆที่ขายดีของค่าย Ibanez
อันดับ 8 Randy Rhoads Signature Polka Dot
มือกีต้าร์วงออสซี่ ออสบอร์นที่บางครั้งจะใช้เลสพอลขึ้นเวลทีแต่กลับทำกีต้าร์ซิกเนเจอร์ตนเองเป็นทรง Flying-V แม้ว่าช่วงแรกจะไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่กับบอดี้ลายจุดที่ดูเหมือนเชยๆ แต่หลังจากเจ้าตัวเสียชีวิตลงในปี 1982 ราคาก็พุ่งพรวดกลายเป็นกีต้าร์ล้ำค่าทันที ตัวปิ๊กอัพฮัมบักเกอร์ 2 ตัว ทำให้เสียงดุดันแบบแนวเมทัล
อันดับ 7 Fender Stevie Ray Vaughan Signature Stratocaster
หลายคนอาจไม่รู้จักมือกีต้าร์บลูส์คนนี้ เพราะ สตีวี่ เรย์ วอห์น เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1990 แต่ครั้งหนึ่งเคยโดดเด่นถึงขั้นขึ้นเวทีเล่นคู่กับ เอริค แคล็ปตัน มาแล้ว สิ่งพิเศษของกีต้าร์รุ่นนี้คือเจ้าตัวบอกว่าชอบบอดี้เฟนเดอร์ปี 1963 คอแบบปี 1962 และปิ๊กอัพแบบปี 1959 ทำให้กีต้าร์ซิกเนเจอร์ที่ออกมาตอนปี 1983 นั่นผสมผสานระหว่าง 3 รุ่น ซึ่งเสียงก็คงไม่ต้องบอกเพราะเจ้าของซิกเนเจอร์ยังแนวบลูส์ซะขนาดนี้
อันดับ 6 Dean Dimebag Darrell Signature
แบรนด์กีต้าร์ Dean อาจไม่คุ้นหูคนไทยซักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นชื่อของ Dimebag Darrell มือกีต้าร์วงแพนเทร่าคงรู้จักกันดี กีต้าร์รุ่นนี้รูปทรงจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก ผลิตจากไม้มะฮอกกานีล้วนๆทุกส่วน เสียงหนาสะใจ บวกกับใช้ปิ๊กอัพ DiMarzio ที่ขึ้นชื่อเรื่องเสียงพุ่งอยู่แล้ว สายเฮฟวี่เมทัลแฟนเพลงของแพนเทร่าหลายคนจึงมักสะสมรุ่นนี้ไว้ในคอลเล็คชั่น
อันดับ 5 ESP LTD James Hetfield Snakebyte
อาจจะกล่าวได้ว่า James Hetfield เป็นผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของกีต้าร์ ESP โด่งดังขึ้นมาก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เจ้าตัวดีไซด์รุ่นสเน็คไบรท์ให้กับแบรนด์ ESP ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ด้วยรูปทรงที่แปลกตาโดดเด่น ซาวด์กีต้าร์ยังร้อนแรงเหมือนของวงเมทัลลิก้าเจ้าของซิกเนเจอร์อีกด้วย เพราะปิ๊กอัพที่ใช้เป็นรุ่น EMG JH SET ที่เจมส์ได้ติดต่อประธานบริษัท EMG ร็อบ เทอร์เนอร์ขอเป็นคนออกแบบการผลิตเอง ดังนั้นซาวด์กีต้าร์จึงครองใจนักดนตรีเกือบทั่วโลก
อันดับ 4 Gibson Buckethead Signature Les Paul
กีต้าร์ของ Buckethead หรือไอ้หัวถังนักดนตรีชาวอเมริกันที่เคยร่วมทำเพลงกับ Gun’N Roses มาแล้ว แม้เจ้าตัวจะโด่งดังในเรื่องการร่วมแจมกับมือกีต้าร์อื่นๆ แต่ตัวกีต้าร์นั้นกลับเป็นที่สนใจอย่างมากเนื่องจากการออกแบบดีไซด์สุดล้ำด้วยสีขาวครีมทั้งตัวแบบไม่มีอินเลย์ สวิทช์สีแดง มีปุ่มเป็นคันโยก วัสดุอื่นๆยังใช้เป็นรุ่นท็อปทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นบอดี้เมเปิ้ล 2 แผ่นซ้อน คอมะฮอกกานีแบบแผ่นเดียว ซาวด์หวานเจี๊ยบอย่างไม่น่าเชื่อจนได้เรตคะแนนถึง 9.9 เต็ม 10 จากการโหวตโดยมือกีต้าร์ทั่วโลกในเวป Gibson เลยทีเดียว
อันดับ 3 Gibson Tony Iommi Signature SG “Monkey”
ซิกเนเจอร์สำหรับกีต้าร์มือซ้ายอย่าง Tony Iommi มือกีต้าร์วงแบล็คซับบาธได้รับการยกย่องว่าเป็นกีต้าร์ที่เสียงดีมาก ด้วยการผลิตในปี 1965 ทำให้กีต้าร์รุ่นนี้มีอายุมากกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ปิ๊กอัพ Gibson P90 ทั้งแบบฮัมบัคกิ้งและซิงเกิ้ลคอยด์ผสานกันอย่างลงตัว แม้ว่าซาวด์จะออกมาหนาดุ แต่ก็มีความนุ่มลึกในเนื้อเสียงเป็นที่นิยมค่อนข้างมาก
อันดับ 2 Eddie Van Halen’s Frankenstrat
รุ่นนี้ดังขนาดไหนก็สามารถทำซีรี่ย์แฟรงค์เก้นสแตรทเป็นของตนเองขึ้นมาได้ แถมเฮียเอ็ดดี้แกยังเก๋าถึงขนาดผสม Fender และ Gibson เข้าด้วยกันโดยทรงจะคล้าย Stratocaster แต่ใช้ปิ๊กอัพแบบฮัมบัคกิ้ง ตัวไม้จะเป็นไม้แอชและเมเปิ้ล มีฟลอยโรสตามสไตล์เจ้าตัว รุ่นซิกเนเจอร์ออกมาให้จับจองกันตั้งแต่ปี 1980 หรือ 35 ปีกว่าๆมาแล้วจึงมั่นใจได้ในคุณภาพเสียง ส่วนตัวจริงที่พี่แกใช้นั้นไม่ต้องพูดถึง ราคาปัจจุบันคือ 40 ล้านบาท เป็นหนึ่งในกีต้าร์หายากของโลกไปแล้ว
อันดับ 1 Fender David Gilmour Signature Black Stratocaster
ซิกเนเจอร์ของมือกีต้าร์วง Pink Floyd ที่หลายคนอาจจะงงว่ามันก็รูปร่างเหมือน Stratocaster ทั่วไปนี่นา ทำไมถึงติดอันดับ 1 และฮิตที่สุดในโลก ก็ไม่มีอะไรมากครับ ตัวที่ David Gilmour ใช้ของแท้นั้นมันมีซีเรียลปั้มเลข 0001 หรือ กีต้าร์ตัวแรกของทรง Stratocaster นั่นเอง (จริงๆแล้วเฟนเดอร์สแตรทตัวแรกที่จำหน่ายซีเรียล 0010) แต่ตัวนี้ดันเป็นของนายลีโอ เฟนเดอร์เจ้าของบริษัทเฟนเดอร์ที่ขายต่อให้กับ ซีมัวร์ ดันแคน และ กิลมัวร์ก็ไปซื้อต่อมาอีกทีนั่นเอง
จริงอยู่ว่าซิกเนเจอร์ที่ออกมานั้นคุณค่าคงไม่เท่ากับของเจ้าตัวหรือแทบจะไม่ต่างกับทรง Strat ทั่วๆไป แต่เนื่องจากใครๆก็อยากรู้ว่าเฟนเดอร์ตัวแรกเป็นอย่างไรคุณภาพเสียงดีแค่ไหน ทำให้รุ่นนี้เป็นที่ยอดนิยมมากที่สุดในโลกไปทันที สำหรับกีต้าร์ซีเรียล 0001 ตัวจริงนั้นเจ้าตัว David Gilmour ก็ได้นำมาเล่นในคอนเสิร์ตฉลองครบรอบ 50 ปี Stratocaster ไปไม่นานที่ผ่านมา ก่อนจะได้รับการตีค่ากีต้าร์ตัวนั้นถึง 50 ล้านบาท
Line 6 Variax STD กีตาร์ไฟฟ้า
ขายเพียง  32,000฿ จาก  37,650฿Cort MX-30R
ขายเพียง  4,900฿ จาก  5,700฿Cort MX-15R
ขายเพียง  3,000฿ จาก  3,550฿Cort MX-15
ขายเพียง  2,600฿ จาก  3,100฿Squier Tomomi Jazz Bass SKB เบส 4 สาย
ขายเพียง  13,500฿ จาก  15,000฿การปรับซาวด์หน้าตู้และชนิดเอฟเฟ็ค
เอฟเฟคกีต้าร์ถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆของมือกีต้าร์ไฟฟ้า เพราะนอกจากตัวกีต้าร์จะได้คุณภาพแล้ว การปรับซาวด์จากตู้ แอมป์และเอฟเฟ็คก็มีส่วนอย่างมาก การปรับซาวด์หน้าตู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่มือกีต้าร์ต้องเรียนรู้ อีกทั้งชนิดของเอฟเฟคเองก็มี หลายแบบให้เลือกใช้งานตามประเภทแนวดนตรี วันนี้จึงจะบอกถึง Tone หน้าตู้และชนิดเอฟเฟคแต่ละประเภทว่าให้ เสียงอย่างไร
Tone Controls หน้าตู้
ปกติแล้วตู้แอมป์กีต้าร์ไฟฟ้าจะมีแผง EQ (equaliser) 3 ย่านเสียงคือ Treble (เสียงแหลม)
Middle (เสียงกลาง) และ Bass (เสียงทุ้ม) ซาวด์ Treble จะให้เสียงที่คมชัดมากขึ้นซึ่งปกติแล้วจะปรับที่ ระดับ 5-6 ส่วนซาวด์ Middle จะให้เสียงแบบร็อคซาวด์ ซึ่งปกติแล้วจะปรับกันที่ 3-4 และ ซาวด์ Bass คือซาวเสียงทุ้มที่มักปรับกันที่ระดับ 6-7 ยกเว้นแอมป์ขนาดเล็กที่ซาวด์จะบาง จึงต้องปรับ 7-8 ในบางรุ่น
นอกจากนี้แอมป์ยังมีส่วนของ Gain และ Overdrive คือทำเสียงให้แตกไว้ใช้ในแนวดนตรีร็อค เมื่อก่อนจะเป็น เอฟเฟ็คชนิดหนึ่งซึ่งค่ายแรกๆที่ทำออกมาคือ Boss ปัจจุบันได้เอาฟังค์ชั่นนี้ใส่ไว้ในตู้แอมป์ด้วยเพราะมีการใช้อย่างแพร่หลาย ปกติก็จะปรับได้ถึง 10 ระดับตามความแตกและดุของเสียง ซึ่งแตกต่างกันไปตามแนวดนตรี ถ้าต้องการร็อคหนักๆก็ต้อง ปรับเยอะ หรือถ้าเป็นบลูส์เบาๆก็อาจปรับแค่ 3-4 เท่านั้น
ชนิดของเอฟเฟค
ปัจจุบันเอฟเฟคที่เป็นระบบดิจิตอลได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะสะดวกต่อการใช้งานและพกพา แต่ยังมีกลุ่มนักดนตรีที่ชื่นชอบ การแยกเอฟเฟคแบบก้อนอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะมือกีต้าร์ที่เล่นอาชีพตามเวทีใหญ่ๆ เพราะเอฟเฟคแบบก้อนจะมีการตัดและต่อ ย่านเสียงเข้าตู้แอมป์โดยตรง ทำให้ซาวด์แต่ละประเภทชัดเจนไม่ถูกรบกวน เอฟเฟคแบบก้อนก็จะมีหลายชนิด เช่น
Reverb
เป็นซาวด์ที่ทำให้เสียงก้องขึ้นเหมือนเล่นอยู่ในห้อง ปกติแล้วมักจะใช้ควบคู่กับเสียงคลีนเพื่อเพิ่มความหนาให้กับซาวด์กีต้าร์ ลักษณะเสียงจะคล้าย Echo หรือเข้าใจง่ายๆว่าเสียงซ้อนกันทำให้ฟังแล้วหนาขึ้นนั่นเอง ปกติแล้วค่า Reverb มักจะ ปรับที่ 2-4 คือไม่มากเท่าไหร่นัก
Delay
หลายๆคนอาจจะรู้ว่า Delay คล้ายๆ Reverb แต่ Delay จะเป็นลักษณะเสียงสะท้อน เช่น เล่นโน๊ตตัวหนึ่งแล้ว อีกประมาณ 1 วินาทีจะมีเสียงโน๊ตตัวนั้นซ้อนขึ้นมาในหางเสียงของเสียงแรก ลักษณะการสะท้อนจะเหมือนเสียงในถ้ำแตกต่างจาก Reverb เพราะเสียงจะเป็นลักษณะ”ตาม” ไม่ใช่การ”ซ้อน”แบบ Reverb ปกติจะปรับกันที่ 5-6
Chorus
ซาวด์นี้ลักษณะตรงตามชื่อคือเหมือนมีคอรัสเบาๆคลอไปด้วย มือกีต้าร์ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเสียงกีต้าร์หวานขึ้น มักจะใช้ในดนตรี แจ๊ส เพราะเสียงจะฟังดูลึกมีมิติ ปกติแล้วปรับที่ 3-4 หรือถ้าเป็นแนวแจ๊สก็อาจจะตั้งไว้เยอะขึ้น ปัจจุบันคอรัสค่อนข้างได้รับความนิยมเพราะทำให้ซาวด์กีต้าร์ฟังดูเต็มหรือแน่นขึ้น อีกทั้งการปรับคอรัสมากนั้นไม่ค่อยทำให้ซาวด์เปลี่ยนเหมือนดีเลย์ จึงเลือกตั้งค่าได้ตามความชอบใจ
Flanger
เอฟเฟคแบบนี้จะให้ซาวด์ที่แตกต่างออกไปอย่างเด่นชัด เพราะตัวนี้จะเป็นการปรับความถี่ของเสียงให้ช้าหรือเร็วขึ้น เสียงเวลากดเอฟเฟคจึงเป็นเสียงคล้ายรถวิ่งหรือเสียงเครื่องบินเพราะมีการแปลงความถี่มาแล้ว ซาวด์จะมีลักษณะแกว่งๆจนบางคนให้คำนิยามว่าเสียงจะเป็นแบบ “หมุน” รอบตัวผู้ฟัง
Wah-Wah
บ้านเราเรียกว่าวาล์ว ซึ่งเอฟเฟคชนิดนี้มักจะต่อแยกออกมา การกดจะเป็นแป้นสวิทช์เท้าสามารถควบคุมเสียงเปิด-ปิดได้ตามจังหวะ เสียงจะถูกปรับย่านความถี่ให้ฟังดูแปลกๆไป ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเสียงมีความ”บวม”ขึ้น มักใช้เป็นลูกเล่นในเพลงหลายๆแนว
ทั้งหมดคือเอฟเฟคที่มักจะนิยมใช้ในหมู่มือกีต้าร์ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟคแบบมัลติหรือแบบก้อนก็มักจะมีเสียงเหล่านี้ติดไว้เพราะทำให้เล่นได้หลากหลายแนวมากขึ้น ดังนั้นหากรู้จักเลือกใช้เอฟเฟครูปแบบต่างๆซาวด์กีต้าร์ก็จะออกมามีมิติมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนมือกีต้าร์ดังๆที่พอฟังจะรู้ทันทีว่าใครเล่น ดังนั้นนอกจากการฝึกซ้อมแล้วก็อย่าละเลยเรื่องการปรับหน้าตู้และเอฟเฟคกันด้วยนะจ๊ะ
ขอบคุณบทความจาก goodnightkiss
ขอบคุณรูปภาพจาก guitarchulk, Boss, bestguitar
5 เหตุผลที่ต้องเลือก Stratocaster !!!
วันก่อนทาง Music Arms ได้พูดถึงข้อดี 5 ข้อของกีต้าร์ทรง Les Paul กันไปแล้ว ทีนี้สาวก Stratocaster หรือสาย Fender คงไม่ต้องน้อยใจ เพราะวันนี้ Music Arms จะมาบอกข้อดี 5 ข้อของทางทรงนี้เช่นกัน ซึ่งต้องเกริ่นก่อนว่าทรงนี้เหมือนเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ยอดฮิตอย่าง Fender เนื่องจากทำมาเป็นเจ้าแรก ก่อนที่แบรนด์อื่นๆจะหยิบยืมไปใช้ในการทำกีต้าร์บ้าง นั่นแสดงให้เห็นว่าทรง Stratocaster นั้นย่อมต้องมีดีในวงกว้างไม่แพ้ทรง Les Paul ซึ่งเราจะหยิบยกข้อดีมาเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. น้ำหนักของกีต้าร์
หลายๆคนที่เคยจับทั้ง Les Paul และ Strat จะทราบกันดีว่า ทรง Strat มีน้ำหนักที่เบากว่ามาก น้ำหนักเฉลี่ยของ Stratocaster อยู่ที่ 7-8 ปอนด์เท่านั้นในขณะที่ทรง Les Paul หนักถึง 9-11 ปอนด์ ดังนั้นเวลาสะพายกีต้าร์เล่นนานๆการเลือกซื้อทรง Strat ย่อมได้เปรียบกว่า รวมไปถึงความสะดวกในการพกพาไปไหนมาไหนอีกด้วย
2. อะไหล่สำรอง
ด้วยความเป็นทรงยอดฮิตอันดับหนึ่งของโลก ทำให้ Stratocaster เองมีอะไหล่จำลองค่อนข้างมาก ถ้าเป็นพวกสายชอบปรับแต่งกีต้าร์แล้วมักจะเน้นไปที่ทรงนี้มากกว่า เพราะวงจรไฟฟ้าภายในของ Strat ไม่ซับซ้อนเท่ากับ Les Paul รวมไปถึงร้านรับทำกีต้าร์ต่างๆที่มักจะคิดค่าซ่อมหรือทำของ Strat ถูกกว่าทรงอื่นๆ ทำให้ทรงนี้เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่ที่กลัวจะหาอะไหล่กีต้าร์เปลี่ยนไม่ได้ รวมไปถึงมือเก๋าขาโมนั่นเอง
3. ความหลากหลายของย่านซาวด์
กว่า 90%ของ Stratocaster จะมีปิ๊กอัพ 3 ทาง คือปิ๊กอัพหน้า (ส่วนคอ) ปิ๊กอัพกลาง (ส่วนบอดี้) และปิ๊กอัพหลัง (ส่วนบริดจ์) รวมไปถึงสวิทช์ปรับแต่งได้ 5 ซีเล็คชั่น นั่นทำให้ทรง Strat นั่นมีย่านซาวด์ที่ค่อนข้างกว้างกว่าทรงอื่นอย่างเห็นได้ชัด และหากใครอยากให้เสียงหนาขึ้นก็สามารถเปลี่ยนตัวหลังเป็นแบบ Hambuckers ก็ได้เพราะตามที่เกริ่นไปแล้วว่าวงจรไฟฟ้าของ Strat ไม่ยุ่งยาก ทำให้ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีแนวบลูส์ ร็อค แจ๊ส ต่างก็ชื่นชอบซาวด์ของทรง Strat จนมีคำพูดติดปากว่าถ้าเป็นมือใหม่ให้ซื้อ Stratocaster ไว้ก่อนเพราะเล่นได้กว้างหลายแนวนั่นเอง
4. คอและฟิงเกอร์บอร์ด
คอของทรง Strat มักจะมีขนาดบางกว่า Les Paul ซึ่งตอบโจทย์ของมือกีต้าร์ได้หลากหลายแนว บางคนที่ชอบโซโล่ไวๆคงไม่ชอบคอที่อ้วนกลมซึ่งจับยาก หรือหากเป็นแนวดันสายก็ยังสามารถเล่นคอของ Stratocaster ได้แบบไม่เคอะเขิน รวมไปถึงเนื้อไม้ที่มีผลต่อย่านซาวด์อีกด้วยเพราะส่วนใหญ่ Les Paul จะไม่ใช้ไม้เมเปิ้ล แต่ทางฝั่ง Strat กลับเลือกใช้ไม้ชนิดนี้มาทำส่วนคอซะมาก ทำให้คอทรง Strat จึงให้ย่านเสียงกลางไปทางเสียงสูงซะเป็นส่วนใหญ่ ความชัดตัวตัวโน๊ตแต่ละเสียงค่อนข้างใสมากกว่าคอไม้มะฮอกกานี
5. ราคา
ข้อสุดท้ายนี่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญเกือบที่สุดของคนที่คิดจะซื้อกีต้าร์ เพราะเกือบทุกยี่ห้องเวลาทำทรง Les Paul ออกมามักจะมีราคาที่สูงกว่าทรงอื่นซักเล็กน้อยเนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบทรง Les Paul เป็นการส่วนตัว แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวก Stratocaster แล้วปัญหานี้จะหมดไปเพราะทรง Strat จะมีราคาที่ถูกกว่าทรงอื่นไม่ว่าจะเป็น SG, Les Paul, หรือจากัวร์อย่างแน่นอน จึงเป็นการประหยัดงบสำหรับการเลือกซื้อกีต้าร์สเป็คดีๆเท่าๆกันในราคาที่ย่อมเยากว่านั่นเอง
ขอบคุณบทความจาก spinditty
ขอบคุณรูปภาพจาก spinditty, Axecaster, Guitarrepair