สิ่งที่สำคัญสำหรับมือกลองแล้ว นอกจากจะมีกลองชุดดีๆซัดชุดไว้สำหรับซ้อมมือ บางคนก็อาจมีกลองประเภทต่างๆติดตัว เช่นที่เราเห็นมือกลองหลายคนยกสแนร์หรือกระเดื่องตัวเองไปเล่นตามร้านอาหารไปผับบาร์ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ไม้กลอง” นั้นสำคัญต่อมือกลองแทบจะที่สุด ขาดไม่ได้กันเลยหรือเปรียบสเมือนแขนทั้งสองข้างของมือกลอง มือกลองที่ดีนั้นจะพกไม้กลองติดตัวอยู่เป็นประจำโดยบางคนก็พกถึง 3-4 คู่กันเหนียวกันไปเลย ทำให้วันนี้ Music Arms จะมาเอาใจมือกลองด้วยการแนะนำ 5 วิธีเลือกไม้กลองคู่ใจให้เข้ามือ เพื่อนๆสามารถนำวิธีเท่านี้ไปเลือกซื้อไม้กลองตามร้านขายอุปกรณ์ดนตรีกันได้ หรือหากยังไม่แน่ใจก็สอบถามหน้าร้าน Music Arms ได้อีกทีนะจ๊ะ ส่วน 5 วิธีนั้นจะมีอะไรบ้างก็ไปดูด้านล่างกันเลย

เลือกขนาดไม้ให้เหมาะกับแนวดนตรีที่เล่น

กลองนั้นถือเป็นตัวควบคุมจังหวะ ซึ่งจังหวะดนตรีในโลกนั้นมีมากมายเหลือเกิน มือกลองควรจะศึกษาตนเองก่อนว่าถนัดแนวอะไร หรือเพลงที่เราเล่นปัจจุบันนั้นเป็นแนวอะไรจึงสามารถเลือกไม้กลองให้ตรงกับความต้องการได้ โดยไม้กลองนั้นปกติก็จะมีหลายขนาด เช่น 2B, 5B, 7A เพื่อนๆอาจจะงงว่าตัวเลขเหล่านี้หมายถึงอะไร คำตอบคือขนาด ซึ่งตัวเลขมากขนาดของไม้กลองก็จะเล็กลง หรือพูดง่ายๆ ไม้กลองขนาด 2 จะใหญ่กว่าไม้กลองขนาด 7 ส่วนตัวอักษรนั้นจะหมายถึงแนวเพลงที่เหมาะกับไม้

“A” ย่อมาจาก orchestra ไม้ชนิดนี้จะใช้ในวง orchestra และเป็นไม้ที่มีขนาดเล็ก

“B” ย่อมาจาก Band หรือวงดนตรี นิยมใช้ในวง Brass Band ที่มีเสียงดัง ไม้ประเภทนี้จึงออกแบบมาให้มีความใหญ่

“S” จะเป็นไม้กลองขนาดใหญ่หรือเรียกว่าไม้กลอง street สวนใหญ่จะใช้กับวงขนาดใหญ่เช่นวงโยธวาทิตหรือกองพลกลองในหน่วยทหาร

ทั้ง 3 แบบนี้เป็นแบบหลักๆของไม้กลองที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด ใครที่เล่นดนตรีแนวไหนก็ควรจะเลือกขนาดไม้ให้ตรงกับความต้องการ จึงจะได้เสียงที่ออกมามีคุณภาพมากขึ้น

ชนิดของไม้กลอง

ไม้กลองก็เป็นเช่นเดียวกับกีต้าร์ เนื่องจากตัวไม้นั้นมีผลต่อเสียงโดยตรง ทำให้เวลาเลือกซื้อไม้กลองนั้นต้องคำนึงด้วยว่าน้ำหนักของไม้กลองทั้ง 2 ข้างนั้น เท่ากันหรือไม่ โดยปกติแล้วไม้กลองแต่รุ่นจะมีตัวเลขและข้อความบอกไว้อยู่แล้วว่าเป็นไม้เบอร์อะไร ใช้ไม้ประเภทอะไร ก็จะทำให้ง่ายต่อการเลือก ประเภทไม้หลักๆของไม้กลองในท้องตลาดนั้นจะมีอยู่ 4 แบบ คือ ไม้เมเปิ้ล, ไม้โอ๊ค, ไม้ฮิคคอรี่ และวัสดุไฟเบอร์ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะให้เนื้อเสียงที่แตกต่างกันออกไป  น้ำหนักของไม้กลองนั้นก็สำคัญ

ไม้เมเปิ้ล เป็นไม้ที่คุ้นหูกันดีเพราะนิยมนำมาผลิตตัวกีต้าร์เช่นเดียวกับ เป็นไม้เนื้ออ่อนที่ให้โทนเสียงกลางดี ซาวด์กระชับ จึงเหมาะต่อแนวดนตรีอย่างกว้างๆ เล่นได้ค่อนข้างหลากหลาย เหมาะทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ให้น้ำหนักที่เบา แต่มีข้อเสียคือเนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อนจึงไม่ค่อยทนทานเท่าไม้ชนิดอื่น ถ้าเจอมือกลองสายบ้าพลังแล้วจะมีอายุการใช้งานที่สั้น

ไม้ฮิคคอรี่ เป็นไม้เนื้อแข็งที่ไว้ใช้เล่นเพลงเฮฟวี่ร็อคเพราะเป็นไม้ประเภทเดียวกับที่ใช้ทำไม้เบสบอล จึงเนื้อแข็งมีความทนทานสูงไม่หักง่าย มีข้อเสียที่ซาวด์มีความกระด้าง ไม้เหมาะที่จะนำมาเล่นเพลงแจ๊สหรือเพลงละเอียดอ่อนนัก แต่มีความแข็งแรงเหมาะกับแนวร็อค

ไม้โอ๊ค เป็นไม้เนื้อแข็งกว่าไม้เมเปิ้ลแต่อ่อนกว่าไม้ฮิคคอรี่ ให้โทนเสียงกลางดีเช่นเดียวกัน แต่ก็มีข้อเสียเพราะเวลาตีจะทำให้มีแรงสะท้อนกลับออกมาเยอะ ทำให้การใช้ไม้ชนิดนี้ค่อนข้างปวดข้อมือ ถ้าเป็นมือใหม่ยังไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ไม้โอ๊คเท่าไหร่นัก

วัสดุไฟเบอร์ เป็นสารสังเคราะห์ที่นำมาอัดมวลแข็งไม้เป็นรูปร่างไม้กลอง มีข้อดีที่น้ำหนักเบามากและมีความทนทานสูง แต่มีข้อเสียเนื่องจากไม่ใช่ไม้จริงๆ ซาวด์จึงออกมากระด้างสุด เหมาะสำหรับเอาไว้ซ้อมมือมากกว่าเพราะพังยาก แต่หากอยากได้ซาวด์ที่มีความละเอียดยังไม่แนะนำ

หัวไม้กลอง

หัวไม้กลองถือเป็นส่วนสำคัญเพราะต้องสัมผัสกับไฮ-แฮทอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อให้เสียงที่เข้ากับดนตรีที่เล่นจึงจำเป็นต้องเลือกหัวไม้ด้วย หัวไม้กลองจะมี2 แบบคือ หัวไม้แท้ที่จะให้เสียงนุ่มนวลเวลากระทบกับทองเหลืองเช่นฉาบหรือไฮ-แฮท แต่มีข้อเสียคือจะแตกหักได้ง่าย อีกแบบคือหัวพลาสติกหรือที่เรียกว่าหัวไนล่อนเวลากระทบกับทองเหลือเสียงจะคมใสกว่า แต่ข้อเสียคือเสียงจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก

ส่วนหัวไม้ก็จะมี 2 แบบเช่นกันคือแบบวงรีและแบบวงกลม ซึ่งข้อแตกต่างนั้นแบบวงรีจะให้เสียงที่เล็กแหลมและพุ่งกว่า เหมาะสำหรับการตีเพลงทุกแนวแต่เน้นไปทาง ร็อค, ป็อป และแจ๊ส อีกแบบจะเป็นหัวไม้กลมซึ่งเสียงที่ออกมาจะหนักและมีพลัง มักจะใช้ในเพลงร็อคหรือเมทัล

ส่วนคอไม้กลอง

ส่วนคอของไม้กลองนั้นปกติแล้วก็นับตั้งแต่ช่วงตรงกลางไม้ไปจนถึงส่วนหัว ถือเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับไม้กลองอย่างมากแม้ว่าหลายคนจะละเลยตรงนี้ไป เพราะส่วนคอของไม้กลองนั้นมีความสัมพันธ์กับส่วนหัวซึ่งจะทำให้เกิดเสียงต่างๆ รวมไปถึงส่วนคอนั้นจะเกี่ยวกับความแข็งแรงของไม้โดยตรง หากเลือกไม้กลองที่คอเล็ก จะให้โทนเสียงใสเหมาะกับเพลงแนวแจ๊ส ส่วนคอไม้กลองหนานั้นจะเหมาะกับเพลงร็อคที่ต้องใช้มวลสารไม้มากกว่า เป็นอีกส่วนสำคัญที่มือกลองควรให้ความเอาใจใส่เพื่อจะได้ไม้กลองที่มีคุณภาพ

ความยาวของไม้กลอง

ปกติแล้วไม้กลองทั่วไปจะมีความยาวอยู่ที่ 15-17 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่มือกลองใช้กัน แต่ความแตกต่าง 2 นิ้วนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่มือกลองควรจะใส่ใจ บางคนชอบที่จะใช้ไม้กลองยาวๆเพราะจับส่วนปลายแล้วสามารถควบคุมหัวไม้ให้พริ้วไหวได้ หรือบางคนชอบไม้กลองแบบสั้นเนื่องจากจะตีได้ทรงพลังมากกว่า ดังนั้นความยาวของไม้กลองก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นสำหรับมือใหม่เวลาเลือกไม้กลองควบคู่ไปกับแนวดนตรีที่เล่นอีกด้วย หากอยากได้ซาวด์ดีๆก็ควรกะระยะไม้กลองตามต้องการ รวมถึงเลือกความยาวไม้ให้เหมาะกับการจับของตนเอง จึงจะได้ซาวด์กลองออกมาดีที่สุด

เพิ่มเติม หากคิดว่าคุณกำลังคิดจะซื้อไม้กลองใหม่ลองเช็คขั้นตอนตามนี้ดูครับ

• การเลือกขนาดของไม้กลอง ว่าขนาดไหนที่เราจับแล้วถนัดมือที่สุด

ซึ่งมีหลากหลายขนาดให้เราได้เลือกสรรค์ ทั้งจากชนิดของพันธ์ุไม้และขนาดไม้กลอง หรือเราสามารถนำไปลองโดยการใช้ตีกับแนร์ก่อนได้เช่นกัน เพื่อทดสอบว่าเข้ากับมือเราหรือไม่

•  เช็คน้ำหนักของไม้ทั้ง 2 ข้าง เพื่อเช็คดูว่าเท่ากันหรือไม่

โดยปกติแล้วน้ำหนักของไม้กลอง โดยไม้แต่ละตัวจะมีขนาดตัวเลขและข้อความบ่งบอกอยู่แล้ว

• การหมุนไม้กลองกับพื้นเรียบๆ ว่าเบี้ยวหรือโค้งงอหรือไม่

สามารถทำได้โดยการนำไม้กลองมาหมุนกับพื้นบ้าน หรือพื้นเรียบอื่นๆ แล้วให้เราทำการหมุนไม้กลองทดสอบ หากไม้ได้มาตรฐานปกติไม่โค้งงอหรือบิดเบี้ยวตัวไม้จะหมุนเรียบๆไม่มีการติดขัดใดๆ

• นำไม้มาเคาะศรีษะเบาๆ เพื่อฟังเสียงโทนไม้แต่และข้าง
• ดูระยะที่กลางไม้เพื่อดูว่า จุดศูนย์กลางของไม้ว่าตรงกันหรือไม่

และนี่คือ 5 วิธีเลือกไม้กลองเบ้องต้นที่มือใหม่หลายคนควรจะทราบเอาไว้ การที่มือกลองมีไม้กลองที่ดีนั้นก็เปรียบเหมือนได้อาวุธคู่กายดีๆติดตัว จะสามารถสร้างเสียงกลองที่หนักแน่นหรือไพเราะได้ตรงตามความต้องการมากขึ้นเลยทีเดียว และหากยังไม่รู้จะไปซื้อไม้กลองที่ไหนไม่ต้องไปไกล เดินเข้ามาที่ร้าน Music Arms ของเราทั้ง 4 สาขาทั่วกรุงเทพได้เลย ทางร้านเรามีไม้กลองดีๆจำหน่ายมากมาย พร้อมทีมงานคุณภาพหน้าร้านที่จะช่วยให้คำปรึกษาเพื่อนๆเพื่อที่จะได้ไม้กลองดีๆก่อนออกจากร้านไปเสมออย่างแน่นอน