5 เหตุผลที่ทำไม The Voice Thailand ปีนี้จึงไม่เปรี้ยงปร้าง
เพลงบ้านเราต่อเนื่อง กระแสดีแบบนี้ทางรายการจึงดำเนินมาอย่างต่อเนื่่องจนล่าสุดก็เป็นปีที่ 5 เข้าไปแล้วที่ The Voice ออกสู่สายตาคนไทย แต่สิ่งที่วิจารณ์กันอย่างหนักในโลกโซเชี่ยลยามนี้คือ ซีซั่น 5 นั้นกระแสกลับไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนเก่า ประกวดรอบชิงได้ผู้ชนะไปแล้วบางคนยังไม่ทราบข่าว วันนี้เราก็จะขอวิเคราะห์ 5 เหตุผลที่ทำไมรายการประกวดร้องเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่สุดของประเทศ ถึงวูบได้อย่างหนักในปีนี้ จะมีสาเหตุอะไรบ้างนั้นรับชมได้เลย
เปลี่ยนโค้ช
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโค้ชชุดแรกทั้ง 4 ท่านนั้นเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกลมกล่อมทั้งประสบการณ์เรื่องดนตรี การรับส่งมุก และความจัดจ้านในเรื่องคอมเมนต์ ทำให้ผู้ชมได้อรรถรสอย่างเต็มอิ่มนอกเหนือจากเสียงร้องของผู้ประกวด แต่พอโค้ชแต่ละท่านไม่ต่อสัญญาอย่าง สแตมป์ หรือ เจนนิเฟอร์ คิ้ม ทำให้อรรถรสตรงนี้หายไปเพราะคนที่มาแทนอย่าง สิงโตและดา เอ็นโดรฟิน นั้นดูจะยังรับส่งมุกไม่ทัน 2 รุ่นเก๋าอย่างโจอี้ และก้อง สหรัถ อีกทั้งดูเหมือนว่าการคอมเมนต์จะเกรงใจรุ่นพี่พอสมควรไม่มีการเชือดเฉือนเรียกเสียงฮาแบบเดิม รวมไปถึงการจับคู่และเลือกเพลงทั้งรอบแบทเทิ่ลกับรองเดี่ยวที่ยังทำได้ไม่เข้าตาผู้ชมนัก อาจต้องให้เวลาปรับจูนกันซักเล็กน้อยจึงจะสู้โค้ชชุดเดิมได้ ดังนั้นปีแรกๆของโค้ชใหม่มีส่วนทำให้รายการกร่อยไปพอสมควร
นักร้องสายพ่นไฟที่หายไป
การประกวดร้องเพลงแต่ละที่ย่อมมีนักร้องสายพ่นไฟหรือโชว์พลังเสียงสุดโหด ซึ่งปีแรกก็จะมีคุณ เกล ดีล่า หรือฝ่ายชายคือ คิง พิเชษฐ์ ในซีซั่น 2 ก็ยังมีแตงโม วัลย์ลิกาและต้าร์ คีตา ซีซั่น 3 มีแนท บัณฑิตา และซีซั่น 4 มีป้าไก่ อัญชุลีอร แม้ว่ารายชื่อเหล่านี้จะไม่ได้เข้าเส้นชัยในบั้นปลายแต่ถือว่าเป็นสีสันของการประกวดให้คนได้ฮืออา และเป็นจุดเด่นที่รายการประกวดร้องเพลงต้องมี แต่กับปีที่ 5 นั้นนักร้องสายพ่นไฟไม่มีปรากฏให้เห็น ทำให้รายการไม่มีเรื่องให้ผู้ชมได้พูดถึง และเป็นเรื่องแปลกสำหรับเวทีประกวดไม่น้อย ทำให้ถ้าจะกลับมาเปรี้ยงปร้างทางรายการคงต้องหวังให้มีสายพ่นไฟแห่กันมาประกวดเยอะๆเพื่อสร้างความฮือฮาและโกยเรตติ้งกลับคืนมา
การทำเพลงแนวใหม่ที่ยังไม่โดน
ในแต่ละปีนั้นรายการ The Voice จะฝากบทเพลงที่คัฟเวอร์ใหม่แบบเพราะไม่น้อยกว่าต้นฉบับเดิมไว้อยู่ตลอด สังเกตุง่ายๆคือตามผับคามบาร์นักดนตรีจะต้องเล่นเพลงที่ดังมาจากรายการนี้แทบทุกปี เช่น ทักรักทั้งเกลียด, ฤดูที่ฉันเหงา, สีเทา จนถึงซีซั่น 4 ก็ยังมีเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน มาให้แฟนๆได้ฮือฮา แต่กับซีซั่นล่าสุดนั้นเพลงที่รายการให้นักร้องคัฟเวอร์กลับเงียบกริบจนไม่มีวงดนตรีกลางคืนวงไหนนำไปเล่นเลย ซึ่งถือว่าผิดปกติมากสำหรับรายการนี้ โจทย์ข้อนี้อาจเป็นเรื่องยากของโค้ชและนักดนตรีสักนิดเพราะการทำเพลงให้ปังไม่แพ้ของเดิมนั้นลำบาก แต่เชื่อว่าด้วยความสามารถของทีมงานแล้วน่าจะกลับมากู้สถานการณ์ตรงจุดนี้ได้เพราะถือเป็นสีสันของ The Voice กันเลย
รายการคู่แข่งที่มาแรง
ปัจจุบันรายการประกวดร้องเพลงหน้าใหม่โผล่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทำให้กระแสโซเชี่ยลมีบางคนล้อเลียนเลยว่าเป็นประเทศของนักร้อง สืบเนื่องมาจากรายการบุกเบิกอย่าง AF, The Star จนมาถึง The Voice เช่นกัน แต่รายการรุ่นบุกเบิกเหล่านี้เริ่มทยอยซาและหายไปเรื่อยๆจนล่าสุดก็มี The Mask Singer ที่กระแสแรงอย่างฉุดไม่อยู่กุมหัวใจคนฟังทั้งประเทศ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมีคู่แข่งที่น่ากลัวแบบนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ The Voice เงียบกริบในปีนี้ และหากยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆถือว่าลำบากแน่นอน เพราะดูแล้วกระแสของ The Mask Singer ยังไม่แผ่วง่ายๆแน่ อีกทั้งยังจะมีรายการหน้าใหม่อื่นๆมาต่อกรในอนาคตอีกด้วย
รสนิยมของคนไทย
ข้อนี้จะสัมพันธ์กับข้อนักร้องสายพ่นไฟที่หายไป เพราะแนวเพลงที่บ้านเราชื่นชอบนั้นจะเป็นเพลงป็อปซะมาก ดูได้จากผู้ชนะเลิศในแต่ละซีซั่นที่โทนเสียงจะมาแนวนี้แทบทั้งสิ้นยกเว้นซีซั่นที่ 2 ทำให้ระยะหลังบรรดานักร้องแนวอื่นๆนั้นหันไปหาเวทีประกวดอื่นที่ไม่ใช่รายการนี้ เพราะถ้าหากมาร้องเสียงโอเปร่านั้นอาจจะโชว์พลังเสียงได้ก็จริงแต่คงโกยคะแนนโหวตจากผู้ชมได้ยาก ด้วยเหตุผลด้านรสนิยมจากคนไทยนี่เองจึงเหมือนมีสิ่งมา”คุลม”รายการนี้ได้ทั้งแนวเพลงและคาแรคเตอร์ของผู้ชนะ ซึ่งทำให้หลายๆคนก็เริ่มเบื่อแนวเพลงป็อปทั่วไปกันแล้ว และอยากให้ผู้เข้าแข่งขันร้องเพลงที่หลากหลายกว่านี้ แต่เชื่อว่าข้อนี้เป็นไปได้ยาก เพราะใครๆก็อยากจะคว้าแชมป์จึงต้องมาแนวที่ดึงคะแนนประชานิยมให้ได้มากที่สุดนั่นเอง