Monthly Archives: มกราคม 2017
Saga D10CE
ขายเพียง  6,480฿ จาก  7,200฿Saga D10C
ขายเพียง  4,680฿ จาก  5,200฿Saga D10
ขายเพียง  4,410฿ จาก  4,900฿การเลือกไม้กลองให้เหมาะกับตนเอง
สำหรับมือกลองนอกจากลองชุดคู่ใจของตนเองแล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกไม้กลองก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยเสริมความถนัดและฝีมือตนเองไปด้วย การใช้ไม้กลองที่ถนัดมือก็จะช่วยสร้างความมั่นใจในการเล่นได้มากขึ้น และหากเลือกไม้ตรงกับประเภทดนตรีก็จะเสริมซาวด์และจังหวะให้กลมกลืนไปกับวงได้อีกด้วย ดังนั้นเราจะมาบอกเทคนิคการเลือกไม้กลองในสไตล์ที่ต้องการแล้วควรรู้กันดังนี้
1. ขนาดไม้
ขนาดไม้กลองถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกเพราะมือกลองย่อมต้องการความเหมาะมือและกระชับเวลาจับ โดยไม้กลองส่วนใหญ่จะมีขนาดรุ่นบอกอยู่แล้วเช่น 3S, 2B หรือ 5A ความหมายก็คือยิ่งตัวเลขมากขนาดเส้นรอบวงของไม้กลองก็จะเล็กลง เช่น 7A ก็จะมีขนาดเล็กกว่า 5A แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูตัวอักษรอังกฤษเป็นหลักว่าเป็นไม้กลองรูปแบบใด เช่น 3S จะมีเส้นรอบวงที่ใหญ่กว่า 2A เป็นต้น
ตัวอักษรชนิดไม้กลองจะมี 3 แบบ คือ S, A และ B ซึ่งการใช้งานก็จะแตกต่างออกไปดังนี้
แบบ S จะเป็นไม้กลองขนาดใหญ่หรือเรียกว่าไม้กลอง street สวนใหญ่จะใช้กับวงขนาดใหญ่เช่นวงโยธวาทิตหรือกองพลกลองในหน่วยทหาร สาเหตุที่ใช้กับวงเหล่านี้เพราะไม้กลองชนิดนี้จะให้เสียงดังกังวานเหมาะกับวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีหลายประเภทและต้องการความดังในการตี
แบบ B จะเป็นไม้กลองมาตรฐานทั่วไปเรียกว่าไม้กลอง band หรือสำหรับเล่นวงดนตรีตามปกติ ขนาดยอดนิยมของรุ่นี้คือ 2B ที่มือกลองทั่วไปมักจะเลือกใช้กัน แบบ B ถือเปนมาตรฐานเพราะสามารถเล่นได้ทุกแนวดนตรี แบบ A จะเป็นไม้กลองที่ขนาดเส้นรอบวงเล็กที่สุด ส่วนใหญ้ไม้กลองไซส์นี้จะนิยมในหมู่คนเล่นดนตรีแจ๊สเพราะต้องการน้ำหนักที่เบาและกระชับเหมาะมือ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ใช้กับดนตรีร็อคอีกด้วยเพราะเหมาะสำหรับการตีเร็วๆหรือเบาๆ
2. หัวไม้
หัวไม้กลองถือเป็นส่วนสำคัญเพราะต้องสัมผัสกับไฮ-แฮทอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อให้เสียงที่เข้ากับดนตรีที่เล่นจึงจำเป็นต้องเลือกหัวไม้ด้วย หัวไม้กลองจะมี2 แบบคือ หัวไม้แท้ที่จะให้เสียงนุ่มนวลเวลากระทบกับทองเหลืองเช่นฉาบหรือไฮ-แฮท แต่มีข้อเสียคือจะแตกหักได้ง่าย อีกแบบคือหัวพลาสติกหรือที่เรียกว่าหัวไนล่อนเวลากระทบกับทองเหลือเสียงจะคมใสกว่า แต่ข้อเสียคือเสียงจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรนัก
ส่วนหัวไม้ก็จะมี 2 แบบเช่นกันคือแบบวงรีและแบบวงกลม ซึ่งข้อแตกต่างนั้นแบบวงรีจะให้เสียงที่เล็กแหลมและพุ่งกว่า เหมาะสำหรับการตีเพลงทุกแนวแต่เน้นไปทาง ร็อค, ป็อป และแจ๊ส อีกแบบจะเป็นหัวไม้กลมซึ่งเสียงที่ออกมาจะหนักและมีพลัง มักจะใช้ในเพลงร็อคหรือเมทัล
3. ชนิดไม้
ไม่ที่นิยมเอามาทำเป็นไม้กลองส่วนมาจะเป็นไม้เมเปิ้ลและไม่โอ๊คซึ่งมีน้ำหนักเบาเหมาะกับทุกแนวเพลง นอกจากนั้นยังมีไม้ฮิกคอรี่ซึ่งจะเป็นไม้แบบหนักที่ไว้ใช้เล่นเพลงเฮฟวี่ร็อคเพราะเป็นไม้ประเภทเดียวกับที่ใช้ทำไม้เบสบอล จึงเนื้อแข็งมีความทนทานสูงไม่หักง่าย แต่จะให้เสียงสู้ไม้เมเปิ้ลและไม้โอ๊คไม่ได้ นอกจากนั้นยังมีไม้กลองที่ทำมาจากไม้สังเคราะห์ซึ่งข้อดีคือราคาถูกมาก แต่ไม้ชนิดนี้จะไม่ทนทาน ส่วนใหญ่นักดนตรีจะใช้แค่ในห้องซ้อมไม่กี่ครั้งก็แตกหัก จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
3 หัวข้อนี่จะเป็นทางเลือกให้มือกลองมือใหม่ได้เลือกไม้กลองในแบบที่ตนเองต้องการ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นต้องไม่ลืมว่าการฝึกซ้อมคือสิ่งสำคัญที่สุดของนักดนตรี ดังนั้นหากได้ไม้กลองที่ถูกใจแล้วก็อย่าลืมไปฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพัฒนาฝีมือตนเองกันต่อไป
ขอบคุณบทความจาก thehub.musiciansfriend
ขอบคุณรูปภาพจาก thehub.musiciansfriend, troys-drums และ reverb
5 เหตุผลที่ต้องเลือก Les Paul
กีต้าร์ทรง Les Paul ถือเป็นจุดเด่นของค่าย Gibson เพราะคู่แข่งโดยตรงอย่าง Fender ไม่ได้ผลิตทรงนี้ออกมาขาย แม้ว่าระยะหลังจะมียี่ห้อเล็กๆเจ้าอื่นผลิตทรงนี้ออกมาบ้าง แต่โดยรวมๆแล้วหากนึกถึงทรง Les Paul ก็จะคิดถึง Gibson แน่ นอน ศิลปินดังๆที่ใช้กีต้าร์ทรงนี้มีมากมายทั่วโลก เช่น Slash มือกีต้าร์ชื่อดังแห่งวง guns n’roses, Jimmy Page แห่ง Led Zepplien รวมไปถึงของไทยเราเช่น พี่ป้อม อัสนี เป็นต้น ทีนี้หลายๆคนก็อาจจะสงสัยว่าทรง Les Paul นี้มีดีอะไรซึ่งแน่นอนว่า 1 ในนั้นคือความสวยงามแน่ล่ะ แต่องค์ประกอบอื่นๆที่หลายคนอาจไม่ทราบ ก็จะขอยกออกมาเป็น ข้อย่อยๆ 5 ข้อดังนี้
1. ซาวด์อันเป็นเอกลักษณ์
หากใครได้ลองจับ Gibson Les Paul แล้วล่ะก็จะพูดเหมือนกันว่าตกหลุมรักเสียงของมันตั้งแตกแรกเริ่ม ด้วย ซาวด์ที่หนา หนักหน่วงในสไตล์ของ Gibson แท้ๆ ทำให้เข้ากับดนตรีทุกแนวไม่ว่าจะเป็น บลู แจ๊ส หรือร็อค และถ้าผลิตโดย Gibson นั้นตัวบอดี้และคอจะใช้ไม้มะฮอกกานีซึ่งให้เสียงหนาเฉพาะตัวเป็นเอกลักษณ์ เสียงที่ออกมาจะนุ่มลึก ทำให้กีต้าร์ Les Paul มีจุดเด่นในเรื่องซาวด์ที่ชัดเจน
2. การตั้งสายและจูนเนอร์
ปกติแล้วทรง Les Paul จะไม่มีคันโยกมาให้ซึ่งต้องซื้อแยกต่างหาก แต่เป็นข้อดีของทรงนี้เพราะโอกาสที่สายจะเพี้ยนมีน้อยมาก ลูกบิดของทรงนี้จะเป็นแบบโอเมติกทำให้ง่ายต่อการดูแลรักษา อีกทั้งเลสพอลแทบทั้งหมดจะมีแค่ 22 เฟรต ทำให้ช่วงระยะห่างระหว่างเฟรตค่อนข้างกว้างง่ายต่อการเล่น อุปกรณ์เสริมของเลสพอลยังมีไม่มากเพราะส่วนใหญ่มือกีต้าร์จะชอบซาวด์และบอดี้
แบบเดิมๆ ทำให้ทรงนี้มีจุดเด่นที่การดูแลรักษาง่ายและไม่จุกจิกยุ่งยาก
3. Sustain (ความยาวของเสียง)
อย่างที่บอกไปในข้อแรกว่า Les Paul จะใช้ไม้มะฮอกกานีทำบอดี้และคอ ซึ่งไม้มะฮอกกานีนี้จะมีลักษณะเด่นคือ สามารถเก็บเสียงไว้ได้นาน ทำให้มือกีต้าร์สามารถลากเสียงยาวไว้ได้ด้วยการดีดแค่ครั้งเดียว และทรง Les Paul จะมี ด้านเว้าเข้าไปในบอดี้แค่ด้านเดียว ทำให้เนื้อไม้ไม่ถูกกินมากจึงมีลักษณะหนาและน้ำหนักมาก เหมาะต่อการเล่นแบบลากเสียง sustain ในแนวบลูส์หรือร็อคได้ตามความต้องการ
4.กระบวนการผลิต
ทราบกันดีว่าบอดี้ของ Les Paul จะมีน้ำหนักมากกว่ากีต้าร์ทรงอื่น แต่ตรงนี้ทำให้เป็นจุดเด่นเพราะตัวไม้จะมีผลต่อ เสียงแบบชัดเจน และทรงนี้จะคงสภาพเนื้อไม้ไว้ได้มากกว่าทรงอื่นเพราะบอดี้เป็นแบบ one cut away หรือเว้าด้าน เดียวต่างจากทรงอื่นๆ รวมไปถึงช่วงเฟรตกีต้าร์ที่ใช้ไม้โรสวู้ดมาประกบกับช่วงคอที่เป็นไม้มะฮอกกานีทำให้หนาและมีขั้นตอน ผลิตที่ค่อนข้างยุ่งยากกว่า ดังนั้นราคาของทรง Les Paul นี้จึงค่อนข้างสูงกว่ากีต้าร์ทรงอื่นนั่นเอง
5.Humbuckers
นี่คือจุดเด่นและเป็นตำนานที่ลอกเลียนแบบไม่ได้ของ Les Paul อย่างแท้จริง ซึ่งบริษัท Gibson จะใช้ปิ๊กอัพ Humbuckers กับ Les Paul ทุกรุ่น ทำให้เสียงออกมาค่อนข้างพุ่งไม่แบนราบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มือกี ต้ารืไม่ว่าจะเป็นแนวไหนก็หลงรักเจ้าอ้วนกลมตัวนี้ทั้งนั้น ซาวด์ของ Humbuckers ยังเข้ากับดนตรีทุกประเภทไม่ว่าจะ เป็นเพลงช้าอย่าง SMooth Jazz จนไปถึงแนวเร็วๆอย่าง Hard Rock ทำให้นักดนตรีที่ต้องการเสียงพุ่งแต่ นุ่มลึกคงไม่ปฏิเสธที่จะมี Les Paul สักตัวเก็บไว้แน่นอน
ข้อดี 5 ข้อที่ยกมาน่าจะเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังตัดสินใจเลือกซื้อกีต้าร์อยู่ว่าทรงไหนถึงเหมาะกับตนเอง ซึ่ง Les Paul นี้ก็ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจหากมือกีต้าร์ต้องการทรงและซาวด์ดังกล่าว ซึ่งเชื่อได้เลยว่าหากคุณมาเป็นสาวก Les Paul แล้วจะไม่ผิดหวังกับกีต้าร์ทรงนี้อย่างแน่นอน
ขอบคุณที่มา spinditty
ขอบคุณรูปภาพจาก musiciansfriend, pourlesmusiciens และ spinditty