Monthly Archives: มกราคม 2017
Squier Tomomi Jazz Bass SKB เบส 4 สาย
ขายเพียง  13,500฿ จาก  15,000฿Fender Mustang IV V.2
ขายเพียง  21,150฿ จาก  23,500฿Fender Mustang III V.2
ขายเพียง  13,050฿ จาก  14,500฿Fender Mustang II V.2
ขายเพียง  8,550฿ จาก  9,500฿Fender Mustang I V.2
ขายเพียง  4,950฿ จาก  5,500฿การปรับซาวด์หน้าตู้และชนิดเอฟเฟ็ค
เอฟเฟคกีต้าร์ถือเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆของมือกีต้าร์ไฟฟ้า เพราะนอกจากตัวกีต้าร์จะได้คุณภาพแล้ว การปรับซาวด์จากตู้ แอมป์และเอฟเฟ็คก็มีส่วนอย่างมาก การปรับซาวด์หน้าตู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่มือกีต้าร์ต้องเรียนรู้ อีกทั้งชนิดของเอฟเฟคเองก็มี หลายแบบให้เลือกใช้งานตามประเภทแนวดนตรี วันนี้จึงจะบอกถึง Tone หน้าตู้และชนิดเอฟเฟคแต่ละประเภทว่าให้ เสียงอย่างไร
Tone Controls หน้าตู้
ปกติแล้วตู้แอมป์กีต้าร์ไฟฟ้าจะมีแผง EQ (equaliser) 3 ย่านเสียงคือ Treble (เสียงแหลม)
Middle (เสียงกลาง) และ Bass (เสียงทุ้ม) ซาวด์ Treble จะให้เสียงที่คมชัดมากขึ้นซึ่งปกติแล้วจะปรับที่ ระดับ 5-6 ส่วนซาวด์ Middle จะให้เสียงแบบร็อคซาวด์ ซึ่งปกติแล้วจะปรับกันที่ 3-4 และ ซาวด์ Bass คือซาวเสียงทุ้มที่มักปรับกันที่ระดับ 6-7 ยกเว้นแอมป์ขนาดเล็กที่ซาวด์จะบาง จึงต้องปรับ 7-8 ในบางรุ่น
นอกจากนี้แอมป์ยังมีส่วนของ Gain และ Overdrive คือทำเสียงให้แตกไว้ใช้ในแนวดนตรีร็อค เมื่อก่อนจะเป็น เอฟเฟ็คชนิดหนึ่งซึ่งค่ายแรกๆที่ทำออกมาคือ Boss ปัจจุบันได้เอาฟังค์ชั่นนี้ใส่ไว้ในตู้แอมป์ด้วยเพราะมีการใช้อย่างแพร่หลาย ปกติก็จะปรับได้ถึง 10 ระดับตามความแตกและดุของเสียง ซึ่งแตกต่างกันไปตามแนวดนตรี ถ้าต้องการร็อคหนักๆก็ต้อง ปรับเยอะ หรือถ้าเป็นบลูส์เบาๆก็อาจปรับแค่ 3-4 เท่านั้น
ชนิดของเอฟเฟค
ปัจจุบันเอฟเฟคที่เป็นระบบดิจิตอลได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะสะดวกต่อการใช้งานและพกพา แต่ยังมีกลุ่มนักดนตรีที่ชื่นชอบ การแยกเอฟเฟคแบบก้อนอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะมือกีต้าร์ที่เล่นอาชีพตามเวทีใหญ่ๆ เพราะเอฟเฟคแบบก้อนจะมีการตัดและต่อ ย่านเสียงเข้าตู้แอมป์โดยตรง ทำให้ซาวด์แต่ละประเภทชัดเจนไม่ถูกรบกวน เอฟเฟคแบบก้อนก็จะมีหลายชนิด เช่น
Reverb
เป็นซาวด์ที่ทำให้เสียงก้องขึ้นเหมือนเล่นอยู่ในห้อง ปกติแล้วมักจะใช้ควบคู่กับเสียงคลีนเพื่อเพิ่มความหนาให้กับซาวด์กีต้าร์ ลักษณะเสียงจะคล้าย Echo หรือเข้าใจง่ายๆว่าเสียงซ้อนกันทำให้ฟังแล้วหนาขึ้นนั่นเอง ปกติแล้วค่า Reverb มักจะ ปรับที่ 2-4 คือไม่มากเท่าไหร่นัก
Delay
หลายๆคนอาจจะรู้ว่า Delay คล้ายๆ Reverb แต่ Delay จะเป็นลักษณะเสียงสะท้อน เช่น เล่นโน๊ตตัวหนึ่งแล้ว อีกประมาณ 1 วินาทีจะมีเสียงโน๊ตตัวนั้นซ้อนขึ้นมาในหางเสียงของเสียงแรก ลักษณะการสะท้อนจะเหมือนเสียงในถ้ำแตกต่างจาก Reverb เพราะเสียงจะเป็นลักษณะ”ตาม” ไม่ใช่การ”ซ้อน”แบบ Reverb ปกติจะปรับกันที่ 5-6
Chorus
ซาวด์นี้ลักษณะตรงตามชื่อคือเหมือนมีคอรัสเบาๆคลอไปด้วย มือกีต้าร์ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเสียงกีต้าร์หวานขึ้น มักจะใช้ในดนตรี แจ๊ส เพราะเสียงจะฟังดูลึกมีมิติ ปกติแล้วปรับที่ 3-4 หรือถ้าเป็นแนวแจ๊สก็อาจจะตั้งไว้เยอะขึ้น ปัจจุบันคอรัสค่อนข้างได้รับความนิยมเพราะทำให้ซาวด์กีต้าร์ฟังดูเต็มหรือแน่นขึ้น อีกทั้งการปรับคอรัสมากนั้นไม่ค่อยทำให้ซาวด์เปลี่ยนเหมือนดีเลย์ จึงเลือกตั้งค่าได้ตามความชอบใจ
Flanger
เอฟเฟคแบบนี้จะให้ซาวด์ที่แตกต่างออกไปอย่างเด่นชัด เพราะตัวนี้จะเป็นการปรับความถี่ของเสียงให้ช้าหรือเร็วขึ้น เสียงเวลากดเอฟเฟคจึงเป็นเสียงคล้ายรถวิ่งหรือเสียงเครื่องบินเพราะมีการแปลงความถี่มาแล้ว ซาวด์จะมีลักษณะแกว่งๆจนบางคนให้คำนิยามว่าเสียงจะเป็นแบบ “หมุน” รอบตัวผู้ฟัง
Wah-Wah
บ้านเราเรียกว่าวาล์ว ซึ่งเอฟเฟคชนิดนี้มักจะต่อแยกออกมา การกดจะเป็นแป้นสวิทช์เท้าสามารถควบคุมเสียงเปิด-ปิดได้ตามจังหวะ เสียงจะถูกปรับย่านความถี่ให้ฟังดูแปลกๆไป ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าเสียงมีความ”บวม”ขึ้น มักใช้เป็นลูกเล่นในเพลงหลายๆแนว
ทั้งหมดคือเอฟเฟคที่มักจะนิยมใช้ในหมู่มือกีต้าร์ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเอฟเฟคแบบมัลติหรือแบบก้อนก็มักจะมีเสียงเหล่านี้ติดไว้เพราะทำให้เล่นได้หลากหลายแนวมากขึ้น ดังนั้นหากรู้จักเลือกใช้เอฟเฟครูปแบบต่างๆซาวด์กีต้าร์ก็จะออกมามีมิติมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเหมือนมือกีต้าร์ดังๆที่พอฟังจะรู้ทันทีว่าใครเล่น ดังนั้นนอกจากการฝึกซ้อมแล้วก็อย่าละเลยเรื่องการปรับหน้าตู้และเอฟเฟคกันด้วยนะจ๊ะ
ขอบคุณบทความจาก goodnightkiss
ขอบคุณรูปภาพจาก guitarchulk, Boss, bestguitar
Mantic MG-1C โปร่งธรรมดาคอเว้า
ขายเพียง  2,790฿ จาก  3,100฿5 เหตุผลที่ต้องเลือก Stratocaster !!!
วันก่อนทาง Music Arms ได้พูดถึงข้อดี 5 ข้อของกีต้าร์ทรง Les Paul กันไปแล้ว ทีนี้สาวก Stratocaster หรือสาย Fender คงไม่ต้องน้อยใจ เพราะวันนี้ Music Arms จะมาบอกข้อดี 5 ข้อของทางทรงนี้เช่นกัน ซึ่งต้องเกริ่นก่อนว่าทรงนี้เหมือนเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ยอดฮิตอย่าง Fender เนื่องจากทำมาเป็นเจ้าแรก ก่อนที่แบรนด์อื่นๆจะหยิบยืมไปใช้ในการทำกีต้าร์บ้าง นั่นแสดงให้เห็นว่าทรง Stratocaster นั้นย่อมต้องมีดีในวงกว้างไม่แพ้ทรง Les Paul ซึ่งเราจะหยิบยกข้อดีมาเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. น้ำหนักของกีต้าร์
หลายๆคนที่เคยจับทั้ง Les Paul และ Strat จะทราบกันดีว่า ทรง Strat มีน้ำหนักที่เบากว่ามาก น้ำหนักเฉลี่ยของ Stratocaster อยู่ที่ 7-8 ปอนด์เท่านั้นในขณะที่ทรง Les Paul หนักถึง 9-11 ปอนด์ ดังนั้นเวลาสะพายกีต้าร์เล่นนานๆการเลือกซื้อทรง Strat ย่อมได้เปรียบกว่า รวมไปถึงความสะดวกในการพกพาไปไหนมาไหนอีกด้วย
2. อะไหล่สำรอง
ด้วยความเป็นทรงยอดฮิตอันดับหนึ่งของโลก ทำให้ Stratocaster เองมีอะไหล่จำลองค่อนข้างมาก ถ้าเป็นพวกสายชอบปรับแต่งกีต้าร์แล้วมักจะเน้นไปที่ทรงนี้มากกว่า เพราะวงจรไฟฟ้าภายในของ Strat ไม่ซับซ้อนเท่ากับ Les Paul รวมไปถึงร้านรับทำกีต้าร์ต่างๆที่มักจะคิดค่าซ่อมหรือทำของ Strat ถูกกว่าทรงอื่นๆ ทำให้ทรงนี้เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่ที่กลัวจะหาอะไหล่กีต้าร์เปลี่ยนไม่ได้ รวมไปถึงมือเก๋าขาโมนั่นเอง
3. ความหลากหลายของย่านซาวด์
กว่า 90%ของ Stratocaster จะมีปิ๊กอัพ 3 ทาง คือปิ๊กอัพหน้า (ส่วนคอ) ปิ๊กอัพกลาง (ส่วนบอดี้) และปิ๊กอัพหลัง (ส่วนบริดจ์) รวมไปถึงสวิทช์ปรับแต่งได้ 5 ซีเล็คชั่น นั่นทำให้ทรง Strat นั่นมีย่านซาวด์ที่ค่อนข้างกว้างกว่าทรงอื่นอย่างเห็นได้ชัด และหากใครอยากให้เสียงหนาขึ้นก็สามารถเปลี่ยนตัวหลังเป็นแบบ Hambuckers ก็ได้เพราะตามที่เกริ่นไปแล้วว่าวงจรไฟฟ้าของ Strat ไม่ยุ่งยาก ทำให้ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีแนวบลูส์ ร็อค แจ๊ส ต่างก็ชื่นชอบซาวด์ของทรง Strat จนมีคำพูดติดปากว่าถ้าเป็นมือใหม่ให้ซื้อ Stratocaster ไว้ก่อนเพราะเล่นได้กว้างหลายแนวนั่นเอง
4. คอและฟิงเกอร์บอร์ด
คอของทรง Strat มักจะมีขนาดบางกว่า Les Paul ซึ่งตอบโจทย์ของมือกีต้าร์ได้หลากหลายแนว บางคนที่ชอบโซโล่ไวๆคงไม่ชอบคอที่อ้วนกลมซึ่งจับยาก หรือหากเป็นแนวดันสายก็ยังสามารถเล่นคอของ Stratocaster ได้แบบไม่เคอะเขิน รวมไปถึงเนื้อไม้ที่มีผลต่อย่านซาวด์อีกด้วยเพราะส่วนใหญ่ Les Paul จะไม่ใช้ไม้เมเปิ้ล แต่ทางฝั่ง Strat กลับเลือกใช้ไม้ชนิดนี้มาทำส่วนคอซะมาก ทำให้คอทรง Strat จึงให้ย่านเสียงกลางไปทางเสียงสูงซะเป็นส่วนใหญ่ ความชัดตัวตัวโน๊ตแต่ละเสียงค่อนข้างใสมากกว่าคอไม้มะฮอกกานี
5. ราคา
ข้อสุดท้ายนี่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญเกือบที่สุดของคนที่คิดจะซื้อกีต้าร์ เพราะเกือบทุกยี่ห้องเวลาทำทรง Les Paul ออกมามักจะมีราคาที่สูงกว่าทรงอื่นซักเล็กน้อยเนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบทรง Les Paul เป็นการส่วนตัว แต่ถ้าหากคุณเป็นสาวก Stratocaster แล้วปัญหานี้จะหมดไปเพราะทรง Strat จะมีราคาที่ถูกกว่าทรงอื่นไม่ว่าจะเป็น SG, Les Paul, หรือจากัวร์อย่างแน่นอน จึงเป็นการประหยัดงบสำหรับการเลือกซื้อกีต้าร์สเป็คดีๆเท่าๆกันในราคาที่ย่อมเยากว่านั่นเอง
ขอบคุณบทความจาก spinditty
ขอบคุณรูปภาพจาก spinditty, Axecaster, Guitarrepair
มารู้จักไม้ทำกีต้าร์กันเถอะ
กีต้าร์ที่เราใช้โดยส่วนใหญ่นั้นมักมีส่วนประกอบทำมาจากไม้แทบทั้งสิ้น โดยทั่วไปจะผลิต 2 ส่วนคือตัวบอดี้และส่วนคอ ซึ่งไม้แต่ ละชนิดก็จะให้เสียงที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะเฉพาะตัวของไม้นั้นๆ ดังนั้นการรู้จักซาวด์ของไม้ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยในการเลือกซื้อกีต้าร์ที่ดีหรือตรงกับแนวดนตรีที่เล่นอยู่ จึงจะขออธิบายซาวด์ของไม้แต่ละประเภทคร่าวๆดังนี้
ไม้เอลเดอร์ Alder Wood
ถือเป็นไม้ยอดฮิตที่นำมาทำเป็นส่วนบอดี้กีต้าร์ในยุค 50′ จนถึงยุค 60′ มีน้ำหนักค่อนข้างเบาลวดลายไม้สวยงาม เสียงที่ออกมาค่อนข้างคลีนใสและชัด ย่านเสียงค่อนข้างเต็มทั้งทุ้มและแหลม โดยเสียงกลางอาจจะเบาเล็กน้อย ลักษณะซาวด์ทุ้มและแหลมจะผสมกันลงตัวทำให้ออกมาเสียงหวาน ข้อเสียคือความต่อเนื่องของเสียง (sustain) จะไม่กว้าง
ไม้แอช Ash Wood
เป็นไม้ที่ทาง Fender นำไปใช้ทำบอดี้กีต้าร์ในช่วงปี 60′ ซึ่งถ้าใครเคยได้ยินเสียงของ Fender ยุคนี้ก็จะทราบลักษณะซาวด์ของไม้ได้ดีเพราะเป็นเอกลักษณ์ของ Fender ไปแล้ว เสียงกลางจะชัดกว่าไม้เอลเดอร์ค่อนไปทางทุ้มเล็กน้อยทำให้เล่นได้ทุกแนวดนตรีและความต่อเนื่องของเสียงจะมากกว่าไม้เอลเดอร์
ไม้เบสวู้ด Basswood
เป็นไม้ที่ราคาไม่แพงทำให้มักจะนำมาผลิตกีต้าร์แบรนด์ระดับล่าง แต่ไม้เบสวู้ดเองหากปลูกในภูมิประเทศที่เหมาะสมก็จะให้เสียงที่ดีเช่นกัน ข้อเสียของไม้ชนิดนี้คือค่อนข้างดูดน้ำทำให้ชื้นง่ายและแห้งยาก โทนเสียงจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและซาวด์ค่อนข้างแหลมบาง
ไม้คอริน่า Korina Wood
เป็นไม้ที่ปลูกในแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่ จุดเด่นของไม้ลักษณะนี้คือให้เสียงที่ค่อนข้างทุ้มกว่าไม้มะฮอกกานี และให้เสียง sustain ค่อนข้างกว้าง แบรนด์ดังอย่าง Gibson เคยนิยมนำไม้ชนิดนี้มาทำกีต้าร์ในยุค 50′ ก่อนจะปรับมาใช้ไม้มะฮอกกานีในช่วงหลัง ซึ่งปัจจุบันไม้คอริน่าหรือที่เรียกอีกชื่อว่าไม้ลิมบามีกจะถูกนำไปใช้ทำเบสมากกว่า
ไม้มะฮอกกานี Mahogany Wood
เป็นไม้ที่ทาง Gibson นำมาผลิตกีต้าร์ในยุคปัจจุบัน ซาวด์จึงออกมาในรูปแบบของกิ๊กสันแท้ๆคือหนาและนุ่มลึก เพราะไม้มะฮอกกานีเป็นไม้เสียงทุ้ม แต่ค่อนข้างหนัก ปัจจุบันทาง Gibson เองได้มีกรรมวิธีผลิตโดยผสมไม้เมเปิ้ลควบคู่ไปด้วยทำให้ซาวด์ออกมาบางลงเล็กน้อยมีความเป็นกลางมากขึ้น
ไม้เมเปิ้ล Maple Wood
สมัยก่อนเป็นที่นิยมปลูกกันมากในทางเหนือของอเมริกา เป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบาและให้ย่านเสียงที่ค่อนข้างนุ่มใสเป็น ไม้ที่นิยมมาใช้เป็นส่วนประกอบของกีต้าร์มากกว่าเป็นไม้หลัก เช่น ประกบกับไม้ชนิดอื่นๆเพื่อเป็นการผสมซาวด์ให้ลงตัวมากขึ้น ปัจจุบันมีการปลูกอย่างแพร่หลายในทวีปเอเชียแต่ซาวด์จะไม่เหมือนของฝั่งอเมริกา เพราะเมเปิ้ลเอเชียซาวด์จะกระด้างไปทางแนวดนตรีร็อคมากกว่าสืบเนื่องมาจากภูมิประเทศในการปลูก
ไม้โรสวู้ด Rosewood
เป็นไม้ที่ให้เสียงดีแบบอะคลูสติคซาวด์ออกมาชัดและใส แต่ไม่นิยมนำมาใช้ทำบอดี้เพราะน้ำหนักมาก ทาง Fender เคยนำมาใช้เป็นส่วนบอดี้ในช่วงปี 1969 – 1972 และเนื่องจากกีต้าร์หนักจึงเลิกใช้ไม้ชนิดนี้ผลิตบอดี้ ปัจจุบันไม้โรสวู้ดมักจะใช้เป็นส่วนฟิงเกอร์บอร์ดเสียมากกว่าเนื่องจากน้ำหนักราคาค่อนข้างสูง การนำไม้โรสวู้ดไปประกบกับไม้ช่วงคอแบบอื่นก็จะช่วยเพิ่มความชัดและใสให้กับเนื้อเสียงกีต้าร์อีกด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีไม้แบบอื่นๆที่มักจะใช้ผลิตเช่น ไม้สปรูซ หรือไม้ตะกูลไม้สนที่ให้น้ำหนักเบาและเสียงชัดออกมาเป็นเม็ดๆ แต่ไม้ชนิดนี้มักจะใช้ทำกีต้าร์โปร่งมากกว่า หรือปัจจุบันก็จะมีไม้สังเคราะห์มาใช้ในการผลิตกีต้าร์ราคาถูกอีกด้วย ซึ่งคุณภาพเสียงอาจลดลั่นกันไปตามราคา ซึ่งหากมีความรู้เรื่องไม้ที่ใช้ผลิตแล้ว ก็จะทำให้สามารถเลือกกีต้าร์ที่มีคุณภาพสมราคาตามแนวดนตรีที่ชอบได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณบทความจาก guitarplayer
ขอบคุณรูปภาพจาก kingsmere, chasingguitar และ luthierssupplies
8 ข้อหลักที่มือเบสต้องรู้ !!!
เบสถือเป็นเครื่องดนตรีสำคัญอย่างหนึ่งในวงเพราะมีหน้าที่ควบคุมทั้งซาวด์และจังหวะรวมไปถึงการประสานกับเพื่อนร่วมวงทั้งกีต้าร์ กลอง และคีย์บอร์ด ทำให้มีหลายคนชื่นชอบในเครื่องดนตรีชนิดนี้ แต่ยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการเล่นเบส จึงขอนำเสนอเกร็ดน่ารู้เล็กๆ 8 ข้อที่ช่วยพัฒนาและเป็นแนวทางในการเล่นเบสมาฝากกัน
1. เล่นให้สัมพันธ์กับกระเดื่องกลอง
ถ้าหากว่าเป็นมือใหม่สิ่งแรกที่มือเบสควรจะทำคือเล่นให้เข้ากับจังหวะกระเดื่องเสียก่อน อันที่จริงแล้วจะเล่นจนชำนาญแค่ไหนการยึดจังหวะจากกระเดื่องก็เป็นสิ่งสำคัญแต่มืออาชีพสายโหดอาจจะมีโซโล่หรือเล่นตามไล์กีต้าร์บ้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตามการดีดให้เข้าจังหวะกับกระเดื่องเป็นพื้นฐานที่มือเบสทุกคนควรตระหนักไว้
2. เล่นให้เข้ากับวง
แน่นอนว่าเบสเป็น 1 ในตัวคุมจังหวะของวง ดังนั้นการที่เล่นให้วง”แน่น”ถือเป็นหัวใจของมือเบส มืออาชีพหลายๆคนอาจจะไม่ได้โชว์ลูกเล่นที่หวือหวาสักเท่าไหร่นักแค่เล่นตามคอร์ดปกติแต่ฟอร์มวงออกมาดี นั่นแสดงถึงความสามัคคีและรู้หน้าที่กันในวง มือเบสที่ดีจึงจะเหมือนผู้อยู่เบื้องหลังวงอย่างแท้จริง
3. ต้องใช้ลูกเล่นให้เป็น
ถ้าอ่านจากที่เกริ่น 2 ข้อแรกหลายคนอาจเข้าใจผิดว่ามือเบสต้องเล่นแบบทื่อๆ แต่ความเป็นจริงแล้วการเล่นเบสต้องสอดแทรกความลื่นไหลของตัวโน๊ตลงไปในเพลงด้วย การใส่ root notes ลงไปในถ้าทำให้เพลงมีความลงตัวเช่น จากคอร์ด G ไป คอร์ด D มือเบสก็อาจจะเล่น G -> A -> B-> D เพื่อความต่อเนื่องได้ ไม่ใช่ว่าดีดดุ่มๆทื่อตามคอร์ดก็จะทำให้วงเล่นยากขึ้น
4. อย่าเล่นแบบกีต้าร์โซโล่
หากคุณรักจะเป็นมือเบสแล้วต้องยอมรับกับความเป็นป๋าดันของวง มือเบสอาชีพที่มีชื่อเสียงระดับโลกต้องรู้หน้าที่ในแต่ละบทเพลง การเล่นตามโน๊ตและคุมจังหวะให้เหมาะสมถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเบสอยู่แล้ว ดังนั้นหากมือเบสจะโซโล่ต้องเป็นจังหวะที่เหมาะสมจริงเท่านั้นไม่เหมือนกีต้าร์ที่จะมีไลน์โซโล่แทบทุกเพลง สำหรับมือเบสแล้ว rhythm คือสิ่งสำคัญกว่า solo
5. จังหวะคือสิ่งสำคัญที่สุด
เบสเป็นเครื่องดนตรีที่ประสานระหว่างจังหวะและตัวโน๊ต ดังนั้นไม่ว่าจะเล่น Rift หรือเดินตามคอร์ดก็ตาม ต้องตระหนักไว้ว่าจังหวะหรือทาร์มมิ่งคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การเล่นเบสที่จึงควรเริ่มต้นฝึกด้วย metronome ให้ชำนาญเสียก่อน
6. เล่นให้ได้อารมณ์เพลง
ซาวด์ของเบสอาจจะฟังดูทุ้มและทื่อกว่าเครื่องดนตรีชนิดอื่น แต่หากเล่นเข้ากับจังหวะและเลือกใช้โน๊ตที่ถูกต้องถือเป็นเครื่องดนตรีที่มีมิติเช่นกัน การที่คนฟังเสพย์ดนตรีนั้นอารมณ์เพลงถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ดังนั้นการฝึกซ้อมเบสนอกจากจังหวะและลูกเล่นแล้วต้องไม่ลืมสำเนียงหรือการเข้าถึงอารมณ์ของเพลงอีกด้วย
7. การควบคุมซาวด์
อย่าได้คิดว่าเบสมีแค่เสียงเดียวเท่านั้น ปัจจุบันนี้เอฟเฟ็คที่ใช้กับเบสก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้นเพราะการเล่นเบสให้เข้ากับดนตรีแต่ละแนวเสียงที่ออกมาจะไม่เหมือนกัน มือเบสที่ดีต้องใช้น้ำหนักนิ้วให้เหมาะกับเพลงเพื่อให้ได้เสียงตามชนิดดนตรี เช่น เล่นแนวแจ๊สก็ไม่ควรดีดแรงจนเสียงออกมาเป็นแนวร็อค
8. ความมั่นใจ
ถ้าหากว่าเล่นเบสได้ตาม 7 ข้อที่กล่าวมาแล้ว ความมั่นใจคือสิ่งสุดท้ายที่จะช่วยเติมเต็มการเล่นให้สมบูรณ์แบบ หากมือเบสไม่มีความมั่นใจแล้วซาวด์ที่ออกมาจะฟังไม่ชัดเจน ดังนั้นเพื่อเพิ่มความมั่นใจต้องหมั่นขยันฝึกซ้อมโดยไม่ลืมเกร็ด 7 ข้อแรกที่กล่าวมา ถ้าหากนักดนตรีซ้อมมาอย่างหนักมีความสามัคคีในวงดีเยี่ยมแล้วจะเล่นด้วยมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อนั้น band performance ของวงก็จะมีคุณภาพ มีความหนักแน่นและเข้าถึงอารมณ์เพลงอย่างเต็มที่
ขอบคุณบทความจาก musicademy
ขอบคุณรูปภาพจาก wikihow, sweetwater