LINE


10 อัลบั้ม Nu Metal ที่น่าหามาฟังจาก LA Weekly

ไปซื้อ 10 อัลบั้ม Nu Metal ที่น่าหามาฟังจาก LA Weeklyที่สาขา

LA Weekly คือหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ประจำเมืองลอสแองเจลิส เปิดตัวเมื่อปี 1978 เนื้อหาสาระครอบคลุมตั้งแต่วงการภาพยนตร์จนไปถึงแวดวงดนตรี เป็นนิตยสารที่อเมริกันชนให้ความเชื่อถือค่อนข้างสูงเพราะเคยจัดงานทั้ง LA Weekly Theater Awards และ LA Weekly Detour Music Festivalมาแล้ว เรียกว่าเป็นสื่อบันเทิงเจ้าใหญ่ในแดนมะกัน วันนี้ทาง Musicarms จะขอยกคอลัมส์ของทางนิตยสาร LA Weekly (ปัจจุบันลงในเว็ปไซด์) เกี่ยวกับอัลบั้มนูเมทัลที่น่าฟังมาให้เพื่อนๆได้รับชมกัน เพราะทั้ง 10 อัลบั้มที่ทาง LA Weekly ยกมานั้นถือว่ามีคุณค่าในตัวไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มเปิดตัวของวงระดับตำนาน หรืออัลบั้มที่มีการร่วมแจมของวงการนูเมทัลจนเป็นงานมาสเตอร์พีซหายาก จะมีอัลบั้มไหนกันบ้างนั้น เชิญรับชมกันได้เลย

Image result for Static-X, Machine

Static-X, Machine (2001)
หลังจากแจ้งเกิดกับอัลบั้มแรก Wisconsin Death Trip ได้ 2 ปี วงStatic-X  ก็ปล่อยงานเพลงชุดที่ 2 ในปี 2001 อัลบั้มนี้ได้ ทริปป์ เอเซ่น (Tripp Eisen) มาเป็นมือกีต้าร์โดยคนเก่าอย่าง โคอิชิ ฟุคุดะ (Koichi Fukuda) ผันตัวไปเล่นคีย์บอร์ด แต่การอัดเสียงนั้นเป็นผลงานของฟุคุดะทั้งหมดเนื่องจากเอเซ่นเข้าวงหลังจากทำอัลบั้มเสร็จแล้ว การที่ฟุคุดะย้ายตำแหน่งทำให้งานในอัลบั้มนี้มีอิเล็คโทรนิคส์ซาวด์มากขึ้นจากชุดแรก เห็นได้ชัดจากท่อน Intro เพลงเปิดตัว This is not แต่ภาคดนตรียังคงความหนักแน่นเช่นเดิม ต่อด้วยเพลง Black and white ก็ได้รับความนิยมสูง จนมาถึงเพลง Cold ที่ถูกนำไปเป็น Soundtrack ของหนังฮอลลีวูดเรื่อง Queen of the damn ส่งผลให้อัลบั้มนี้กระแสดีกว่าชุดแรก ทำยอดขายเกิน 5 แสนชุด ไต่ถึงอันดับ 11 ในบิลบอร์ดชาร์ต ถือเป็นอัลบั้มที่ส่งให้ทั่วโลกรู้จักกับวงนี้มากขึ้น ยิ่ง เวย์น สตาทิค นักร้องนำเสียชีวิตไปเมื่อปี 2014 ทำให้งานเพลงชุดนี้ขึ้นหิ้งจนหลายคนต้องปัดฝุ่นออกมาฟังกัน

Image result for Coal Chamber, Coal Chamber

Coal Chamber, Coal Chamber (1997)
วงนูเมทัลตั้งแต่ยุคแรกๆที่ก่อตั้งวงโดย เดซ ฟาฟารา (Dez Fafara)และ มีกส์ ราสคอน (Meegs Rascón) สองสมาชิกจากวง She’s In Pain ที่แยกตัวออกมาเมื่อปี 1992 และมาตั้งวงใหม่ในปี 1993 ชื่อวง Coal Chamber มีสมาชิก 4 คน หลังจากฟอร์มวงกันอยู่นานก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงเมื่อปี 1997 กับสังกัด Roadrunner Records เปิดตัวด้วยเพลง Loco เป็นแนวนูเมทัลแบบดั้งเดิมคือแทบไม่มีซาวด์อิเล็คโทรนิคส์ในเพลงมากเหมือยวงยุคหลังๆ อีกทั้งมือเบสยังเป็นผู้หญิงคือ เรย์น่า ฟอสส์ (Rayna Foss) ทำให้ภาพลักษณ์ของวงดูแปลกตาไปอีก อัลบั้มนี้ทำยอดขายเกิน 5 แสนชุด รวมไปถึงติดบิลบอร์ดชาร์ตในอันดับ 81 นอกจากอเมริกาแล้ว อัลบั้มนี้ยังโด่งดังในต่างแดนขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตเพลงที่เยอรมันอีกเช่นกัน มีเพลงดังมากมายเช่น Big Truck และ Sway ถือเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก่อนจะยุบวงไปในระยะหนึ่งเมื่อปี 2003 ปัจจุบันวงรียูเนี่ยนกลับมาอีกครั้งในปี 2015 แต่เปลี่ยนสมาชิกรวมถึงแนวดนตรีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำให้หากอยากฟังความเป็น Coal Chamber ดั้งเดิมต้องย้อนมาฟังงานเพลงชุดนี้

Image result for Soulfly, Soulfly

Soulfly, Soulfly (1998)
อัลบั้มเปิดตัวของวงใหม่แต่หน้าเก่าอย่าง Soulfly กำเนิดโดย แม็กซ์ คาวาเลรา (Max Cavalera) มือกีต้าร์และนักร้องนำที่แยกวงมาจาก Sepultura หลังจากทะเลาะกับวง การออกมาตั้งวงใหม่ทำให้ดึงฐานแฟนเพลงมาได้มากพอสมควร งานเพลงชุดนี้ยังมีกลิ่นอายของวง Sepultura ในชุดหลังๆผสมกับความเป็นนูเมทัลเข้าไป ตั้งแต่เพลงเปิดตัว Eye for an Eye ที่ออกมาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1998 แนวดนตรียังคงหนักหน่วงเข้มข้นเช่นเดิม ต่อด้วยเพลง Tribe และเพลงที่ดังสุดในอัลบั้มอย่าง Bleed ที่แม็กซ์เขียนเนื้อร้องเอง ความพิเศษของอัลบั้มนี้คือเมื่อหลังจากที่แม็กซ์ออกจากวงมาทำเพลงเองนั้น บรรดานักดนตรีเพื่อนฝูงก็พาเหรดกันมาช่วยงานในอัลบั้มนี้กันเพียบ ทำให้งานชุดนี้เหมือนเป็นการรวมญาติ ไม่ว่าจะเป็น เฟร็ด เดิร์สต์ (Fred Durst) แห่ง Limp Bizkit มาร้องในเพลง Bleed หรือ ชีโน่ โมเรโน่ (Chino Moreno) แห่งวง Deftones มาร้องในเพลง First Commandment ส่งผลให้อัลบั้มนี้เหมือนเป็นงานรวมฮิตนูเมทัลกลายๆ และหลายคนลืมภาพพจน์ Sepultura ไปในทันที ชื่อของ Soulfly ก็กลายมาเป็นวงนูเมทัลขึ้นหิ้งกับยอดขายเกิน 5 แสนชุดตั้งแต่อัลบั้มแรก

Image result for Machine Head, The Burning Red

Machine Head, The Burning Red (1999)
วงแทรชเมทัลแห่งแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่เริ่มจาก ร็อบ ฟลินน์ (Robb Flynn) แยกตัวออกมาจากวง Vio-Lence และได้ก่อตั้งวง Machine Head ขึ้นมาร่วมกับ อดัม ดิวซ์ (Adam Duce) ทำเพลงกับค่าย Roadrunner Records ตั้งแต่ปี1994 ในช่วงแรกนั้นวงเป็นแนวแทรชเมทัลอย่างชัดเจนสามารถทำยอดขายได้ถึง 4 แสนชุดตั้งแต่เปิดตัว แต่ในอัลบั้มที่ 3 The Burning Red ที่ออกมาเมื่อปี 1999 นั้น กระแสนูเมทัลกำลังเฟื่องฟู อีกทั้งยังเปลี่ยนตัวโปรดิวเซอร์เป็น รอส โรบินสัน ที่ปั้นมาแล้วทั้ง Slipknot, Korn, Limp Bizkit ทำให้แฟนเพลงต้องช็อกไปไม่น้อยเนื่องจากทางวงหยิบเอาดนตรีนูเมทัลมาใช้โดยเฉพาะการร้องแร็ป รวมถึงการแต่งตัวแบบว่านูเมทัลจ๋า แต่กลับทำยอดขายได้มากกว่าอัลบั้มก่อนๆเสียอีก มีเพลงฮิตอย่าง From This Day, Silver และ The Blood กลายเป็นอัลบั้มขึ้นหิ้งทันทีเพราะหลังจากอัลบั้มที่ 4 Supercharger ซึ่งเป็นแนวนูเมทัลเช่นกันแต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ Machine Head กลับไปเป็นแทรชเมทัลเช่นเดิม หากใครอยากเห็นวงนี้ในลุคแปลกๆถือว่าอัลบั้มนี้น่าหามาฟังอย่างยิ่ง

Image result for Limp Bizkit, Three Dollar Bill Y'all

Limp Bizkit, Three Dollar Bill Y’all (1997)
อัลบั้มเปิดตัวของวงนูเมทัลระดับตำนานอย่าง Limp Bizkit กำเนิดมาจาก เฟร็ด เดิร์สต์ (Fred Durst) ช่างสักกับเพื่อนอีก 3 คนฟอร์มวงกันมาตั้งแต่ปี 1994 แสดงคอนเสิร์ตตามไลฟ์เฮาส์ต่างๆ จนได้สมาชิกคนที่ 5 อย่าง ดีเจเลธัล (DJ Lethal)เข้ามามีบทบาทให้วงกลายเป็นแร๊พร็อคด้วยการสแครชแผ่น จนได้เซ็นสัญญากับค่ายอินดี้ชื่อว่า ฟลิพเรคคอร์ดส แล้วออกอัลบั้มแรกชื่อว่า Three Dollar Bill Y’all$ ในปี 1997 เปิดตัวด้วยเพลง Counterfeit สร้างความฮืฮาในวงการเพลงไม่น้อย กลายเป็นวงที่สร้างสีสันให้กับวงการนูเมทัลทันทีด้วยการเป็นวงแรกๆที่ใช้ turntable มาเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรี โดยทั่วไปแล้วคนจะรู้จักกับวงนี้ในอัลบั้มชุดที่ 3 เนื่องจากเพลง Take a Look Around ซึ่งถูกนำไปประกอบภาพยนตร์ Mission Impossible 2 และเพลง Rollin’ แต่งานชุดแรกของพวกเขามีเพลงดีๆน่าฟังมากมายเช่นกันไม่ว่าจะเป็น Counterfeit, Faith และ Everything หากอยากสัมผัสกับความดิบของวงนี้แล้ว งานชุดแรกถือเป็นอัลบั้มที่สาวกนูเมทัลต้องหามาฟัง

Image result for Linkin Park, Hybrid Theory

Linkin Park, Hybrid Theory (2000)
เชื่อว่าสาวกนูเมทัลคงไม่มีใครไม่เคยฟังงานเพลงชุดนี้ แต่ก็ต้องยิบยกขึ้นมา ชื่ออัลบั้มนั้นมาจากชื่อวงเก่าของพวกเขาก่อนจะออกเทปเนื่องจากซ้ำกับศิลปินกลุ่มอื่นจนต้องเปลี่ยนเป็น Linkin Park อัลบั้มวางแผงเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ปี 2000 ก็ทำให้โลกรู้จักกับ 6 สมาชิกของวงทันที ชุดนี้เพลงดังแทบทุกเพลงไม่ว่าจะเป็นเพลงเปิดตัว One Step Closer, Crawling, Runaway รวมไปถึงหนึ่งในเพลงชาตินูเมทัลอย่าง In the End ที่กลายเป็นเพลงประจำวง สามารถขึ้นถึงอันดับ 2 บิลบอร์ดชาร์ตได้ เป็นอันดับที่สูงที่สุดของวงนูเมทัล งานชุดนี้กวาดยอดขายเฉพาะในอเมริกาเกิน 11 ล้านชุด และที่ยุโรปอีกกว่า 4 ล้านชุด เรียกว่าเป็นอัลบั้มนูเมทัลทียอดขายสูงสุดและประสบความสำเร็จในวงกว้างอย่างมากที่สุด นอกจากยอดขายแล้วก็ยังสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่อวอร์ดสาขา Best Hard Rock Performance ไปครอง รวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงอีก 2 รางวัล ชื่อของ Linkin Park จึงขึ้นแท่นวงนูเมทัลระดับโลกไปในทันที

Image result for Deftones, Around the Fur

Deftones, Around the Fur (1997)
จุดเริ่มต้นของวง Deftones นั้นมาจากสามสมาชิก ชีโน่ โมเรโน่ (Chino Moreno), สตีเฟ่น คาร์เพนเทอร์ (Stephen Carpenter) และ เอ็บ คันนิ่งแฮม (Abe Cunningham) ซึ่งเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเด็กๆมาซ้อมดนตรีด้วยกัน ต่อมาได้ ชิ เช็ง (Chi Cheng) มาเล่นเบสจึงครบองค์ประชุมทำเพลงเดินสายเล่นคอนเสิร์ตเล็กๆทั่วไปและเข้าตาค่ายเพลง Marverick ออกอัลบั้มแรกมาเมื่อปี 1995 ประสบความสำเร็จพอสมควรเนื่องจากเพลง Teething ได้ไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Crow แต่งานเพลงชุดที่ 2 Around the Fur ที่ออกมาเมื่อปี 1997 นั้นกลับโด่งดังยิ่งกว่าเดิม เพิ่ม แฟรงค์ เดลกาโด้ (Frank Delgado) ในตำแหน่ง DJ ซาวด์เอฟเฟคมาเป็นนูเมทัลแบบเต็มตัว มีเพลงดังอย่าง Headup ที่ Max Cavalera อดีตนักร้องนำวง Sepultura และชิโนแต่งเพลงร่วมกันให้กับลูกชายของ Max ที่เสียชีวิต ก่อนที่เรื่องนี้จะเป็นชนวนทำให้ Max ออกจากวง Sepultura และเพลง Be Quiet and Drive (Far Away)ที่ขึ้นถึงอันดับ 29 ในบิลบอร์ดชาร์ต อัลบั้มนี้ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดของวง ยิ่งปัจจุบัน ชิเช็ง มือเบสได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้งานชุดเฟื่องฟูของทางวงมีคนย้อนกลับมาฟังไม่น้อย

Image result for System of a Down, System of a Down

System of a Down, System of a Down (1998)
System of a Down หรือเรียกย่อๆว่า SOAD วงที่ 3 สมาชิกจากโรงเรียนสอนภาษาอาร์เมเนียรวมตัวกัน มี Serj(ร้องนำ, คีย์บอร์ด) Daron (กีต้าร์) Shavo (เบส) และมือกลองคือ Andy Khachaturian เพื่อนของ Shavo ก่อนที่จะดังเปรี้ยงปร้างกับอัลบั้มที่ 2 Toxicity ซึ่งทำยอดขายได้ 12 ล้านชุดทั่วโลกนั้น อัลบั้ม System of a Down ถือเป็นงานเพลงเปิดตัวของพวกเขาที่น่าสนใจไม่น้อย มีเพลงดังอย่าง Sugar และ Spiders สามารถทำยอดขายได้เกิน 1 ล้านชุดที่อเมริกา นับว่าเป็นการเปิดตัววงหน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมแม้ว่างานชุดแรกนั้นจะเป็นการรวมแนวเพลงทั้งนูเมทัลและสปีดเมทัลเข้าด้วยกันก็ตาม เนื้อหาส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้เป็นเรื่องสงคราม ปัญหาทางสังคม การควบคุมจิตใจของมนุษย์ อย่างเช่นเพลง P.L.U.C.K. (Politically Lying, Unholy, Cowardly Killers) แม้ว่าความโด่งดังจะสู้งานชุดที่ 2 ไม่ได้ แต่อัลบั้มแรกนั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจของนักวิจารณ์เพลงอย่างมากและเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่สาวกนูเมทัลต้องมีไว้ในครอบครอง

Image result for Slipknot, Slipknot

Slipknot, Slipknot (1999)
วงนูเมทัลที่มีจุดเด่นเรื่องการใส่หน้ากากขึ้นแสดงคอนเสิร์ต เริ่มตั้งวงจาก 6 สมาชิกทำงานเพลง EP ใต้ดินและทำเดโมเสนอค่ายเพลงต่างๆด้วย ก่อนจะไปเข้าตาค่าย Roadrunner Record แต่ก็มีปัญหาเรื่องสมาชิกในวงที่เข้าๆออกๆ ตลอด จนสุดท้ายมาลงตัวที่สมาชิก 9 คน วางแผงอัลบั้มแรกชื่อเดียวกับวงเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1999 ด้วยลุคที่แปลกตากับหน้ากากต่างๆ รวมไปถึงแนวดนตรีดิบๆเนื้อหารุนแรง แต่กลับเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังได้อย่างไม่น่าเชื่อ แค่เพลงเปิดตัว Wait and Bleed ก็ดังเปรี้ยงทันที ต่อเนื่องด้วยเพลง Spit It Out จนมาถึงเพลงดังที่สุดในอัลบั้มนี้อย่าง Surfacing ทำให้พวกเขาโด่งดังเป็นวงนูเมทัลแถวหน้าของโลกทันที สามารถขึ้นถึงอันดับ 51 ในบิลบอร์ดชาร์ตรวมไปถึงเสนอชื่อเข้าชิงแกรมมี่อวอร์ด แม้ว่าจะพลาดรางวัลไปแต่ก็ถือว่าเป็นอัลบั้มมาสเตอร์พีซของชาวนูเมทัล แม้ว่างานเพลงชุดหลังๆจะยังเข้มข้นเช่นเดิมแต่การที่พอล แกรย์ มือเบสเสียชีวิตในปี 2010 ทำให้แฟนๆคิดถึงอัลบั้มนี้กันไม่น้อย

Image result for Korn, Korn

Korn, Korn (1994)
เจ้าพ่อนูเมทัลยุคแรกเริ่มกับ 5 สมาชิก โจนาธาน เดวิส (ร้องนำ), ไบรอัน เวลช์ (กีต้าร์), เจมส์ ชัฟเฟอร์ (กีต้าร์), เรจินัลด์ อาร์วิซู (เบส) และ เดวิด ซิลเวอเรีย (กลอง) ส่วนใหญ่นั้นเป็นแบ็คอัพให้กับศิลปินต่างๆมาก่อนแล้วเช่น วง L.A.P.D และวง Creep รวมตัวกันทำเพลงกับสังกัดSony BMG ออกอัลบั้มเมื่อปี 1994 ชื่อชุด Korn ในขณะนั้นดนตรีนูเมทัลยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก แต่ Korn กลับเป็นวงรุ่นแรกๆที่บุกเบิกกระแสกับแนวเพลงดิบ เถื่อน เนื้อหาของเพลงเต็มไปด้วยคำหยาบ แต่กลายเป็นว่ากลุ่มนักสเก็ตบอร์ดอเมริกันชื่นชอบอย่างมาก อัลบั้มนี้มีเพลงดังๆอย่าง Blind, Need To และ Clown ทำยอดขายไปได้เกิน 2 ล้านชุดที่อเมริกา ทำให้คนทั่วโลกได้เข้าถึงดนตรีนูเมทัล ดังนั้นอัลบั้มนี้จึงขึ้นหิ้งสำหรับสาวกเพลงนูเมทัลไปทันทีในฐานะผู้เปิดกระแสเพลงนูเมทัลให้ได้รับความนิยมในวงกว้างไปทั่วโลก แม้ว่ายุคหลังๆจะมีวงนูเมทัลมากมายเกิดขึ้น แต่ชื่อของวง Korn ยังคงขึ้นหิ้งในใจสาวกนูเมทัลอยู่เสมอ

Music Arms