หลักการทำงานของอุปกรณ์ในระบบเสียง PA เบื้องต้น
หลักการทำงานของอุปกรณ์ในระบบเสียง PA เบื้องต้น
ส่วนประกอบพื้นฐานในระบบสัญญาณเสียง
1. Tranducer อุปกรณ์แปลงสัญญาณเสียงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเช่น ไมโครโฟน หรือ เครื่องเล่น CD
2. Mixing อุปกรณ์รวมสัญญาณและผสมเสียง เช่น Mixer, Effect และ Processor
3. Amplification ระบบขยายสัญญาณเสียงเพื่อที่จะออกไปยังลำโพง
4. Output อุปกรณ์ให้เสียง เช่น ลำโพง
Microphone (ไมโครโฟน)
โดยปกติที่นิยมใช้งานมี 2 แบบ
1. Dynamic Microphones
– เป็นไมโครโฟนที่ใช้งานง่าย ทนทาน
– ใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า (Phantom Power)
– ราคาไม่แพงมากนัก
– มีแกนแม่เหล็กและขดลวดพันรอบ มีไดอะแกรม
– เมื่อเสียงปะทะแกนแม่เหล็กจะเกิดเสียง
2. Condenser Microphones
– รับสัญญาณได้ดี ในทุกย่านความถี่ (20Hz- 20KHz)
– ต้องใช้ Phantom Power (+48V)
– เป็นอุปกรณ์บอบบาง ต้องระวังการกระแทกและความชิ้น
– ภายในเป็นแผ่นรับเสียงไดอะแกรม 2 แผ่นบางๆขั้วบวกและลบ
– เมื่อใช้ไฟฟ้าแผ่นไดอะแกรมจะทำงานทำให้เกิดเสียง
รูปแบบการรับสัญญาณไมโครโฟนหลักๆจะ มี 4 แบบ
1. Cardioid รับสัญญาณด้านเดียว ไมโครโฟนประเภทนี้จะรับสัญญาณเสียงได้ดีที่สุดทางด้านหน้า ต่อเนื่องไปยังด้านข้าง (ที่มุม 90 องศา เสียงจะลดลงประมาณ 6 dB) ส่วนทางด้านหลังนั้นไม่รับเสียงเลย ดังนั้นรัศมีการรับเสียงจะเป็นลักษณะแบบรูปหัวใจ การที่เป็นไมค์ที่ไม่รับเสียงจากด้านหลัง จึงมีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ไมค์หลายๆ ตัวร่วมกัน และ ไม่ต้องการที่จะบันทึกเสียงบรรยากาศของห้องเข้ามามากๆ
2. Hypercardioid มีลักษณะคล้าย Cardioid ตรงที่จะรับเสียงได้ดีมากที่สุดด้านหน้า แต่สิ่งที่แตกต่างคือ จะรับสัญญาณเสียงได้น้อยที่ด้านข้างทั้งสองข้าง คือ ประมาณตำแหน่งองศาที่ 150 – 160 และ 200 – 210 Hypercardioid มักจะนิยมใช้ในกรณีที่ต้องการทิศทางการรับเสียงที่แคบกว่า Cardioid และ Supercardioid มีรัศมีการรับเสียงแบบนี้ มักนิยมใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการแยกการบันทึกเครื่องดนตรีที่อยู่ใกล้กันมาก เป็นต้น
3.Supercardioid มีรัศมีการรับเสียงด้านหน้าที่แคบกว่า Cardioid แต่จะมีลักษณะที่คล้ายกับ Hypercardioid มาก ต่างกันตรงที่ รัศมีการรับเสียงที่ด้านหลังจะแคบกว่ามาก
4. Figure 8 ไมโครโฟนประเภทนี้ รับสัญญาณได้เกือบเท่ากัน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่จะรับได้น้อยมาก ที่ด้านข้าง พื้นที่การรับเสียงจึงมีลักษณะคล้ายกับเลข 8 ที่จุดตัดกันของเลข 8 เป็นตำแหน่งของไมโครโฟน ไมโครโฟนประเภทนี้ยังถูกเรียกได้ในอีกชื่อหนึ่งคือ Bi-Directional แนวการใช้งานนั้นสามารถใช้กับการร้องของนักร้องสองคนโดยแต่ละคนในแต่ละด้านของไมค์หรือการอัดเสียงเครื่องดนตรีโดยด้านหนึ่งรับเสียงจากเครื่องดนตรีและอีกด้านหนึ่งจับบรรยากาศของห้อง เป็นต้น
ขั้วต่อ สัญญาณเสียง
หัวแจ็คหลักๆในการต่อสัญญาณเสียงมี 4 แบบ คือ แบบ XLR, แบบ Phone, แบบ RCA และแบบ USB
ชนิดของ Mixer มี 4 แบบ
1. Analog Mixer เป็นระบบวงจรไฟฟ้าภายใน ใช้งานง่าย
2. Digital Mixer เป็นระบบวงจรไฟฟ้ารวมกับข้อมูล มีระบบการใช้งานที่ยุ่งยากขึ้น
3. Power Mixer เป็น Mixer ที่รวมกับ Power Amp
4. All in one Mixer เป็น Mixer ที่สามารถขับกำลังเสียงและให้เสียงได้ในตัวแบบครบชุด
Equalizers คือการปรับระดับสัญญาณเสียง โดยปกติจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เสียงต่ำ เสียงกลางและเสียงสูง โดยบางครั้งอาจมีการแบ่งเป็น High Mid และ Low mid
เสียงต่ำ คือกลุ่มสัญญาณเสียงในระดับต่ำกว่า 100 Hz เป็นกลุ่มย่านเสียงต่ำของเครื่องดนตรี มวลของเสียงจะมีขนาดใหญ่และหนา หากเพิ่มมากขึ้นจะฟังเบลอไม่คมชัด
เสียงกลาง คือกลุ่มสัญญาณเสียงตั้งแต่ 250 Hz ถึง 5 KHz เป็นกลุ่มย่านเสียงปกติของเครื่องดนตรีและนักร้อง โครงร่างเสียงจะชัดเจน มีพลัง
เสียงสูง คือกลุ่มสัญญาณเสียงตั้งแต่ 10 KHz โดยจะเป็นเสียง Overtones ของเครื่องดนตรี ให้เสียงเครื่องโลหะชัดเจน เนื้อเสียงมีความคม หากลดมากไปเสียงจะฟังดูไม่โปร่ง
Trick ในการเลือกเครื่องเสียงที่ดีควรเลือกลำโพงที่มีกำลังขับที่ต้องการ จากนั้นจึงเลือกตัว Power Amp ที่เหมาะสมกับลำโพงนั้นๆ
แหล่งที่มา Yamaha Pro Audio Thailand